จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 789
ป.ป.ช. เผยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติประกาศผลดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ประจำปี 2567 ประเทศไทย ได้ 34 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลก
นายศรชัย ชูวิเชียร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 6 รักษาราชการแทนรองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า เมื่อวันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 06.01 น. ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศเยอรมณี หรือเมื่อประมาณ 12.01 น. ตามเวลาในประเทศไทย องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI) ได้ประกาศคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ประจำปี 2024 (พ.ศ. 2567) จากจำนวน 180 ประเทศทั่วโลก โดยประเทศเดนมาร์ก ครองตำแหน่งอันดับที่ 1 ของโลก ด้วยคะแนนสูงสุด 90 คะแนน ในขณะที่ประเทศไทย ได้ 34 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลก และอยู่ในอันดับที่ 5 ของกลุ่มประเทศอาเซียน (10 ประเทศ) ซึ่งประเทศสิงค์โปร์ ได้คะแนนสูงสุดคือ 84 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 3 ของโลก
โดยผลการสำรวจดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2567 นั้น เป็นการประเมินจากแหล่งข้อมูล 9 แหล่ง โดยประเทศไทยได้คะแนนเพิ่มขึ้น 5 แหล่ง ลดลง 4 แหล่ง ดังนี้
แหล่งข้อมูลที่คะแนนเพิ่มขึ้น จำนวน 5 แหล่ง ได้แก่
จากคะแนนที่ได้เพิ่มขึ้นดังกล่าว เนื่องจากมุมมองของผู้ประเมินจากแหล่งข้างต้นทั้งจากผู้ตอบแบบสอบถามและผู้เชี่ยวชาญมีมุมมองว่า ภาครัฐได้แสดงออกให้สาธารณชนเห็นอย่างชัดแจ้งในการตระหนักและให้ความสำคัญกับปัญหาการทุจริต โดยเฉพาะการเน้นย้ำในความเคร่งครัด เอาจริงเอาจังในการบังคับใช้กฎหมาย การผลักดันให้หน่วยงานที่มีงานบริการที่พัฒนาเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการลดปัญหาสินบนในการอนุมัติ/อนุญาต การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวก ลดขั้นตอนระยะเวลามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และมีมาตรการส่งเสริมให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐมีความโปร่งใส รวมทั้งการสร้างความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆทั้งองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมอย่างกว้างขว้าง ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจจริง
ประกอบกับมุมมองของผู้ประเมินต่อการใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ของรัฐในฝ่ายบริหาร เจ้าหน้าที่ของรัฐในฝ่ายตุลาการ เจ้าหน้าที่ของรัฐในฝ่ายทหารและตำรวจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยการถือปฏิบัติตามนโยบายงดรับของขวัญและของกำนัลจากการปฏิบัติหน้าที่ การรณรงค์ให้แยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวม รวมถึงการยึดมั่นในมาตรฐานทางจริยธรรมที่กำหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว เนื่องจากภาครัฐมีการกำหนดมาตรการหรือแนวทางที่ชัดเจนและต่อเนื่องในการป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบหรือใช้ดุลยพินิจขัดต่อผลประโยชน์ของส่วนรวม
แหล่งข้อมูลที่คะแนนลดลง จำนวน 4 แหล่ง ได้แก่
น่าจะมีสาเหตุมาจาก มุมมองของผู้ประเมินในประเด็นเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาการบริหารงบประมาณที่ขาดประสิทธิภาพและอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ โดยมีกรณีสำคัญ เช่น นโยบายประชานิยม การนำงบประมาณไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนบุคคล การใช้จ่ายอย่างไม่สมเหตุสมผล หรือขาดความคุ้มค่า ส่งผลให้ทรัพยากรของรัฐไม่ได้ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัญหาดังกล่าวไม่เพียงส่งผลต่อการบริหารงานของรัฐ แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ด้านธรรมาภิบาลของประเทศ
ประกอบกับมุมมองของนักลงทุนที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย ที่เห็นว่ายังคงมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะต้องเผชิญกับการเรียกรับเงินหรือการจ่ายสินบนให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐในการประกอบธุรกิจ แม้ว่ารัฐบาลจะมีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาการทุจริต คอร์รัปชัน โดยบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ และความพยายามในการพัฒนาระบบและขั้นตอนในการอนุมัติ อนุญาต ของหน่วยงานต่าง ๆ ก็ตาม แต่ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ตอบแบบสอบถามในแหล่งข้อมูลข้างต้นยังไม่มีความเชื่อมั่นการดำเนินการดังกล่าว และเห็นว่าปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้เกิดการรับรู้ในเชิงลบ
รวมทั้งมุมมองของผู้ประเมินในแหล่งข้อมูลดังกล่าว อาจเห็นว่ารัฐบาลยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการทุจริตไม่เพียงพอ ซึ่งจากข่าวการทุจริตที่ปรากฏจากสื่อต่าง ๆ เช่น คดีที่สร้างความเสียหายให้แก่ประชาชนเป็นวงกว้าง และมีข้าราชการ นักการเมือง เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ที่ยังไม่มีกลไกการตรวจสอบ ดำเนินคดี หรือลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำการทุจริตอย่างรวดเร็ว และไม่มีการเยียวยาความเดือดร้อนเสียหาย ตลอดจนการดำเนินนโยบาย บางนโยบายอาจมีการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มนายทุนหรือบริษัทขนาดใหญ่ รวมทั้งมีข่าวเกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งของเจ้าหน้าที่รัฐโดยไม่เป็นธรรม
ทั้งนี้ การประเมินคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เห็นภาพรวมสถานการณ์คอร์รัปชันในแต่ละประเทศผ่านมุมมองของผู้ประเมิน โดยในการยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ของประเทศไทยนั้น ผู้นำประเทศและรัฐบาลต้องแสดงเจตจำนงทางการเมืองในการแก้ไขปัญหาการทุจริต โดยการสร้างความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการทุจริตร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
โดยข้อเสนอแนะขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (TI) ที่ได้ให้ไว้จากการประกาศคะแนนในครั้งนี้ คือ ทุกประเทศควรสร้างกระบวนการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสการทุจริตไม่ให้ถูกคุกคามหรือมีการแทรกแซงโดยใช้อิทธิพลในการกำหนดนโยบายในระดับชาติและระดับนานาชาติ ต้องสร้างความโปร่งใสและสภาพแวดล้อมที่ดีในการกำหนดนโยบายและการจัดสรรเงินงบประมาณ เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการต่อต้านการทุจริตร่วมกับการเปิดเผยข้อมูล (Open Data) เกี่ยวกับงบประมาณการดำเนินโครงการ รวมทั้งข้อมูลการเป็นคู่สัญญาภาครัฐ โดยการต่อต้านการทุจริตต้องส่งเสริมแนวคิดการดำเนินการด้วยความซื่อตรง (Integrity) และความรับผิดรับชอบ (Accountability) ซึ่งจะช่วยให้เกิดสภาพแวดล้อมในการต่อต้านการทุจริตที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น
ในส่วนของสำนักงาน ป.ป.ช. ในฐานะที่องค์กรหลักในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ต้องดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจที่จะส่งเสริมการยกระดับคะแนน CPI ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการเรื่องตรวจสอบและไต่สวนให้เป็นไปตามกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนดด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน รวมทั้งการเพิ่มช่องทางการยื่นบัญชีทางอิเล็กทรอนิกส์ และพัฒนาระบบตรวจสอบทรัพย์สินด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบทรัพย์สิน การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ผ่านชมรม STRONG จิตพอเพียงต้านทุจริต การจัดทำและพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา การพัฒนาการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) การพัฒนาการดำเนินการของศูนย์ป้องปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงาน ป.ป.ช. (Corruption Deterrence Center : CDC) และการเสนอมาตรการ ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต ตลอดจนการสื่อสารสร้างความเข้าใจในกลุ่มภาคเอกชน กลุ่มนักลงทุนและชาวต่างชาติที่ต้องเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการขออนุมัติ อนุญาต การนำเข้าส่งออก การขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษพื้นที่ชายแดน (AEC) เพื่อประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมทั้งการป้องกันความเสี่ยงต่อการทุจริตในเรื่องที่กระทบต่อสาธารณชนในวงกว้าง และประสานการร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการการดำเนินงานในการส่งเสริมการยกระดับคะแนน CPI ของประเทศไทยให้เป็นไปตามเป้าหมายต่อไป