Contrast
Font
582404f617451c205b1d41abea534dcb.png

คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีร่ำรวยผิดปกติ และกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ รวมจำนวน 2 เรื่อง

จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 406

12/11/2568

คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีร่ำรวยผิดปกติ และกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ รวมจำนวน 2 เรื่อง

วันนี้ (12 พฤศจิกายน 2568) นายสุรพงษ์  อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีร่ำรวยผิดปกติ และกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ รวมจำนวน 2 เรื่อง ดังนี้  

 

                    เรื่องที่ 1 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายสุรเดช พรหมโชติ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ร่ำรวยผิดปกติ รวมเป็นเงินจำนวน 13,916,451 บาท

 

                        ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ในระหว่างปี พ.ศ. 2555 – 2558  ขณะที่นายสุรเดช พรหมโชติ
ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา
ได้ทุจริตเงินกองทุนสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. ที่นำไปร่วมลงทุนในโครงการพลังงานไฟฟ้าขยะชุมชนกับบริษัทเอกชน และมีการฝากเงินเข้าบัญชีธนาคารของตนเอง
เป็นจำนวนมาก โดยนายสุรเดช พรหมโชติ และคู่สมรส มีรายได้ตามแบบแสดงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ปี 2555 – 2558  รวมจำนวน 7,252,347.54 บาท แต่มีทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นไม่สัมพันธ์กับรายได้ และไม่สามารถชี้แจงแหล่งที่มาได้ จำนวน 26 รายการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 13,916,451 บาท ดังนี้

  1. เงินฝากในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขากระทรวงศึกษาธิการ ชื่อบัญชี นายสุรเดช พรหมโชติ จำนวน 19 รายการ รวมเป็นเงิน 8,956,866 บาท
  2. เงินฝากในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขา
    ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ (ร.พ. รามาธิบดี) ชื่อบัญชี นายสุรเดช  พรหมโชติ จำนวน 7 รายการ
    รวมเป็นเงิน 4,959,585 บาท

 

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้

                    นายสุรเดช พรหมโชติ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจ
ในตำแหน่งหน้าที่ รวมเป็นเงินจำนวน 13,916,451 บาท

 

                        ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด
เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ
ตกเป็นของแผ่นดิน และให้แจ้งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออก
โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม

                        หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในระยะเวลาสิบปี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 125 ด้วย

เรื่องที่ 2 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายพงษ์พันธ์  ยมมาศ
เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี กับพวก ออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน (แบบ ป.3)        รวมจำนวน 259 ฉบับ โดยมิชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ในระหว่างวันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 – 3 พฤษภาคม 2561 ขณะที่นายนรเสฏฐ์  ศรีตะพัสโส นายกฤษณพันธ์  เดชครุฑ และนายพงษ์พันธ์  ยมมาศ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี แต่ละช่วงเวลาต่อเนื่องกัน ได้สั่งการเจ้าหน้าที่เสมียนงานทะเบียนอาวุธปืน    ว่าในกรณีที่นายดนุพล  ยมพงษ์ นำเอกสารของบุคคลใดมาขอออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน (แบบ ป.3)        ให้เจ้าหน้าที่เสนอเรื่องต่อนายอำเภอสัตหีบในฐานะนายทะเบียนอาวุธปืนเพื่อลงนามออกใบอนุญาต โดยไม่ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด และไม่ต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากปลัดอำเภอ หัวหน้างานทะเบียนอาวุธปืน และปลัดอาวุโส จากนั้นนายนรเสฏฐ์  ศรีตะพัสโส นายกฤษณพันธ์  เดชครุฑ และนายพงษ์พันธ์  ยมมาศ ในฐานะนายทะเบียนอาวุธปืน ได้ลงนามออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน (แบบ ป.3) รวมจำนวน 256 ฉบับ ให้แก่นายดนุพล  ยมพงษ์ กับพวกรวม 8 ราย โดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้        นายดนุพล  ยมพงษ์ กับพวก ได้อาศัยใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน (แบบ ป.3) ดังกล่าว ไปซื้ออาวุธปืนมาจำหน่ายเพื่อการค้า รวมจำนวนทั้งสิ้น 191 กระบอก

                     นอกจากนี้ นายพงษ์พันธ์  ยมมาศ ขณะดำรงตำแหน่งนายอำเภอสัตหีบ ได้ออกคำสั่งแต่งตั้งและออกบัตรประจำตัวชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ให้แก่ราษฎรรายหนึ่งโดยที่มิได้ร้องขอ และ นายสมจิตร วอนน้ำเพชร กำนันตำบลแสมสาร ได้ออกเอกสารรับรองความประพฤติของราษฎรรายดังกล่าว อันเป็นเท็จ เพื่อให้นายดนุพล  ยมพงษ์ นำเอกสารดังกล่าวไปใช้ขอรับใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน (แบบ ป.3) จากนายพงษ์พันธ์  ยมมาศ รวมจำนวน 3 ฉบับ โดยมิชอบด้วยกฎหมาย

 

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้

  1. การกระทำของนายพงษ์พันธ์ ยมมาศ และนายนรเสฏฐ์  ศรีตะพัสโส มีมูลความผิด
    ทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบัน
    เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง

 

  1. การกระทำของนายสมจิตร วอนน้ำเพชร มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา 161 ประกอบมาตรา 91 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
  2. การกระทำของนายดนุพล ยมพงษ์ กับพวก มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิด และฐานความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง

 

สำหรับนายกฤษณพันธ์  เดชครุฑ จากการไต่สวน ข้อเท็จจริงปรากฏว่าได้ถึงแก่ความตายแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบ ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวน
การไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัย ไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 แล้วแต่กรณีต่อไป

จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

Related