จากไชต์: สำนัก มาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม
จำนวนผู้เข้าชม: 400
วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ : 9 มิถุนายน 2563
ความเป็นมา/ความสำคัญของปัญหา
ตามที่ได้ปรากฏปัญหาจากการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนกรณีการกระทำทุจริตของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยนักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้เข้าร้องเรียนต่อเลขาธิการ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่าขณะฝึกงานที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่น ถูกสั่งให้ปลอมเอกสารลายมือชื่อและข้อมูลเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย กลุ่มผู้ติดเชื้อเอดส์ กลุ่มส่งเสริมอาชีพ และปลอมลายมือชื่อในใบเสร็จรับเงิน ตามคำสั่งของผู้อำนวยการศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่นและเจ้าหน้าที่ที่ดูแลการฝึกงานของนักศึกษา ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ได้มีการรับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวแล้วนั้น สำนักงานเลขาธิการ คสช. ได้มีการสั่งการไปที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและพบว่ามีมูลตามที่ร้องเรียน และได้มีการรวบรวมหลักฐานเข้าสู่กระบวนการไต่สวน พร้อมกับลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงพร้อมทั้งสรุปรายละเอียดเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย
ในเวลาต่อมา สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้ขยายผลการตรวจสอบกรณีเงินอุดหนุนของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไปยังศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง/สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ภายใต้สังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการทั่วประเทศ โดยพบกรณีการกระทำทุจริตเป็นวงกว้างทั้งในส่วนของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง นิคมสร้างตนเอง ศูนย์ประสานงานโครงการหมู่บ้านสหกรณ์ และศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงหรือศูนย์สงเคราะห์ชาวเขา ในพื้นที่หลายจังหวัด ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) พบว่ามีข้าราชการระดับสูงและข้าราชการในระดับหน่วยงานในพื้นที่ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำทุจริตหลายราย
ปัญหาการกระทำทุจริตดังกล่าวส่งผลกระทบและเกิดความเสียหายเป็นวงกว้างในระดับประเทศ และสะท้อนให้เห็นถึงสภาพปัญหาการรั่วไหลของงบประมาณงบเงินอุดหนุนของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการที่เกิดจากการกระทำทุจริตในหลายขั้นตอน ทั้งในด้านกฎ ระเบียบ ข้อบังคับทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง วิธีการและแนวทางปฏิบัติของผู้ปฏิบัติงานที่มีความเสี่ยงในการกระทำทุจริต การขาดการควบคุมและตรวจสอบการใช้ดุลพินิจของผู้มีอำนาจหน้าที่ ระบบการตรวจสอบการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ การจัดทำฐานข้อมูลกลุ่มเป้าหมายของผู้รับการสงเคราะห์ ตลอดจนการบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องฯลฯ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาถึงสภาพปัญหาเกี่ยวกับการขั้นตอนการเบิกจ่ายเงินงบประมาณงบเงินอุดหนุนและกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา เพื่อให้งบประมาณที่ใช้สำหรับการจัดสวัสดิการสังคม การสังคมสงเคราะห์ สำหรับกลุ่มเป้าหมายผู้รับการสงเคราะห์แต่ละประเภท ตามภารกิจของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ รวมทั้งเพื่อให้การบริหารจัดการการใช้จ่ายเงินงบประมาณงบเงินอุดหนุนในภาพรวมระดับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง
ข้อเสนอแนะ
เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคม ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรณี ศึกษากรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว เห็นควรมีข้อเสนอแนะตามความมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ดังนี้
1. ด้านการจัดทำระบบฐานข้อมูลผู้ประสบปัญหาทางสังคมของประเทศไทย
รัฐบาลควรกำหนดให้การจัดทำฐานข้อมูลผู้ประสบปัญหาทางสังคมของประเทศไทย
เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อบูรณาการการปฏิบัติงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการจัดทำสำมะโนประชากร (Census) เพื่อปรับปรุงและจัดทำฐานข้อมูลผู้ประสบปัญหาทางสังคมของประเทศไทยและดำเนินการเชื่อมโยงฐานข้อมูลกับเลขประจำตัวประชาชน 13 หลักของกรมการปกครอง ฐานข้อมูลบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตลอดจนฐานข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถมีฐานข้อมูลสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ตั้งแต่ในระดับพื้นที่ โดยมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงแรงงาน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นต้น โดยให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อร่วมกันดำเนินการบูรณาการการปฏิบัติงานและปรับปรุงฐานข้อมูลประสบปัญหาทางสังคมของประเทศไทย
ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ควรจัดทำระบบสารสนเทศรองรับการใช้งานข้อมูลจากฐานข้อมูลในรูปแบบ Web-Based Technology หรือ Mobile Application ที่ผู้ใช้งานสามารถปฏิบัติงานและเรียกดูข้อมูลบน Web Browser หรือ โทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ มีการรายงานข้อมูลแบบ Real-Time และจะต้องเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้
2. ด้านเบิกจ่ายเงินงบประมาณงบเงินอุดหนุน
เห็นควรให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พิจารณาสั่งการให้ส่วนราชการภายใต้สังกัด พิจารณาทบทวน/ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนและการกำหนดหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือกรณีเงินสงเคราะห์ในแต่ละประเภทให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการใช้ดุลยพินิจโดยไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ตลอดจนกำหนดระเบียบ วิธีการ ขั้นตอนในการจ่ายเงินสงเคราะห์ ให้มีความชัดเจน เหมาะสมกับสถานการณ์และสภาวการณ์ในปัจจุบัน รวมทั้งให้พิจารณาศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการจัดให้มีบัตรสงเคราะห์ผู้ประสบปัญหาทางสังคม โดยใช้ฐานข้อมูลเลขบัตรประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก ซึ่งในส่วนของการพิจารณาให้ความช่วยเหลือ/การพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินนั้น ยังคงเป็นอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ/กรมภายใต้สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แต่ให้มีการบูรณาการระหว่างส่วนราชการภายใต้สังกัด เพื่อสร้างระบบการจ่ายเงินให้มีประสิทธิภาพที่สามารถจ่ายเงินไปยังผู้รับการสงเคราะห์ได้โดยตรง ในการที่จะสามารถป้องกันปัญหาการทุจริต และสามารถลดภารกิจในด้านการเบิกจ่ายเงินของเจ้าหน้าที่ เพื่อที่ให้สามารถพัฒนางานด้านสังคมสงเคราะห์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยอาจศึกษารูปแบบการจ่ายเงินกรณีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นการจ่ายเงินผ่านระบบธนาคาร (e–Payment)
นอกจากนี้ เพื่อให้ภารกิจด้านการสงเคราะห์ของประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
มากยิ่งขึ้น เห็นควรให้มีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีภารกิจด้านการเบิกจ่ายเงินสงเคราะห์ให้แก่ประชาชน พิจารณาจัดให้มีระบบการจ่ายเงินผ่านระบบธนาคาร (e–Payment) โดยใช้บัตรใบเดียวที่สามารถเบิกจ่ายเงินให้ประชาชน/กลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้เป็นไปตามโครงการ National e-Payment ซึ่งจะเป็นการบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคม และพัฒนาระบบการรับจ่ายเงินภาครัฐทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยส่งเสริมการรับจ่ายเงินของหน่วยงานภาครัฐผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ ส่งเสริมให้มีฐานข้อมูลกลางเกี่ยวกับสวัสดิการของภาครัฐ ควบคู่กับการจ่ายเงินให้แก่ประชาชนโดยตรงผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะช่วยให้สามารถจ่ายเงินช่วยเหลือและเงินสวัสดิการให้แก่ประชาชนได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ลดความผิดพลาด ความซ้ำซ้อน และโอกาสการทุจริต โดยกระบวนการดังกล่าวจะต้องมีการพิสูจน์ยืนยันตัวตนผู้มีสิทธิ โดยใช้ช่องทางระบบดิจิทัล และต้องมีระบบติดตามผลเพื่อตรวจสอบสถานภาพของผู้มีสิทธิเป็นประจำทุกปี เพื่อให้ฐานข้อมูลเป็นปัจจุบันและสามารถตรวจสอบได้แบบ Real Time
3. ด้านการติดตาม ประเมินผล และตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณงบเงินอุดหนุน
เห็นควรให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พิจารณาสั่งการให้ส่วนราชการภายใต้สังกัด จัดทำแผนการตรวจสอบประเด็น/ขั้นตอนที่มีความเสี่ยงต่อการทุจริตในการดำเนินการใช้จ่ายงบประมาณงบเงินอุดหนุน และให้มีการวิเคราะห์ พร้อมทั้งจัดทำแผนสำหรับการสุ่มตรวจสอบกรณีที่อาจมีความเสี่ยงต่อการทุจริตในการเบิกจ่ายเงินงบประมาณงบเงินอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคม โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลที่มีความเหมาะสม และให้มีผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก ได้แก่ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้แทนผู้ตรวจราชการภาคประชาชน นักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการสังคมสงเคราะห์ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการดังกล่าว โดยให้มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบเกี่ยวกับความถูกต้องโปร่งใส ความรวดเร็ว ในการเบิกจ่ายเงินงบประมาณงบเงินอุดหนุน พร้อมการเปิดเผยรายงานผลการติดตามและประเมินผลของโครงการต่อสาธารณะ
มติคณะรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 ดังนี้
1. รับทราบและเห็นชอบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคม ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรณีศึกษา กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้มีข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านการจัดทำระบบฐานข้อมูลผู้ประสบปัญหาทางสังคมของประเทศไทย เช่น ปรับปรุงและจัดทำฐานข้อมูลผู้ประสบปัญหาทางสังคมโดยเชื่อมโยงฐานข้อมูลกับเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ฐานข้อมูลบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และฐานข้อมูลอื่น ๆ (2) ด้านเบิกจ่ายเงินงบประมาณงบเงินอุดหนุน โดยให้มีการทบทวน/ปรับปรุงกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง ให้มีระบบการจ่ายเงินผ่านระบบธนาคารโดยใช้บัตรใบเดียว และการจัดให้มีบัตรสงเคราะห์ผู้ประสบปัญหาทางสังคม และ (3) ด้านการติดตาม ประเมินผล และตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณงบเงินอุดหนุน โดยให้มีคณะกรรมการตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผล รวมถึงให้มีการจัดทำแผนการตรวจสอบประเด็นที่มีความเสี่ยงต่อการทุจริต ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
2. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เช่น (1) ควรมีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลผู้มีสิทธิได้รับการสงเคราะห์ทั้งจากส่วนราชการภายในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และจากส่วนราชการอื่น (2) ควรมีการใช้ประโยชน์จากชิปการ์ดบนบัตรประจำตัวประชาชน โดยการบรรจุข้อมูลการเป็นผู้ได้รับการสงเคราะห์ตามสิทธิต่าง ๆ รวมไว้ในบัตรประชาชนเพียงใบเดียว (3) ควรมีการตรวจสอบการได้รับเงินอย่างต่อเนื่อง และ (4) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมควรพิจารณาดำเนินการพัฒนากระบวนการทำงานของหน่วยงานของรัฐให้มีความสอดคล้องและมีความเชื่อมโยง และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย