จากไชต์: สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดราชบุรี
จำนวนผู้เข้าชม: 1317
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด กรณีกล่าวหา นาย ส. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ป. จังหวัดราชบุรี กับพวกรวม 7 คน กรณีร่วมกันดำเนินการตรวจรับโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กเลียบคลอง หมู่ที่ 3 ตำบล ป. จังหวัดราชบุรี อันเป็นเท็จ ทำให้ราชการได้รับความเสียหาย
ข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า โครงการก่อสร้างถนน คสล. เลียบคลอง ป. หมู่ที่ 3 ตำบล ป. จังหวัดราชบุรี ได้กำหนดรายการดำเนินการก่อสร้างในโครงการดังกล่าวไว้ในแบบ ปร.4 อย่างชัดเจน ว่ามีรายการที่ต้องก่อสร้างในโครงการดังกล่าว คือ
1.1 งานปรับเกลี่ยพื้นทางเดิมพร้อมลงหินคลุกบดอัดแน่น หนาเฉลี่ย 0.15 เมตร
1.2 ไหล่ทางหินคลุก
1.3 ทรายหยาบรองพื้นหนา 0.05 เมตร
1.4 งานคอนกรีต 280 ksc (หนา 15 ซม.)
1.5 งานเหล็กเสริมคอนกรีต 1.5 งานไม้แบบก่อสร้าง
1.6 งานยางมะตอยรอยต่อ
1.7 งานท่อระบายน้ำ คสล. เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.30 เมตร
1.8 งานผนังกันดิน จำนวน 8 จุด
อันเป็นปริมาณงานที่ผู้รับจ้างต้องกระทำการก่อสร้างตามโครงการดังกล่าว และตามใบเสนอราคาของผู้รับจ้างเองก็ได้มีการแสดงรายละเอียดราคาค่างานรายการต่างถูกต้องตรงกันกับรายการตามแบบ ปร.4
ต่อมาเมื่อผู้รับจ้างได้เข้าดำเนินการก่อสร้างโครงการดังกล่าว นาย จ. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 ในฐานะช่างผู้ควบคุมงาน ได้ทำการเข้าควบคุมงานก่อสร้างและได้จัดทำบันทึกการปฏิบัติงานของผู้รับจ้าง และร่วมกันลงลายมือชื่อรับรองการปฏิบัติงานในเอกสาร โดยมีรายละเอียดการเข้าทำงาน ดังนี้
วันที่ 28 มีนาคม 2561 ผู้รับจ้างทำงานผนังกันดินและวางท่อ
วันที่ 29 มีนาคม 2561 ผู้รับจ้างทำงานผนังกันดินและวางท่อ
วันที่ 30 มีนาคม 2561 ผู้รับจ้างทำงานผนังกันดินและวางท่อ
วันที่ 31 มีนาคม 2561 ผู้รับจ้างลงหินคลุกชั้นพื้นทาง
วันที่ 1 เมษายน 2561 ผู้รับจ้างลงหินคลุกชั้นพื้นทาง
วันที่ 2 เมษายน 2561 ผู้รับจ้างลงทรายรองพื้นทางพร้อมติดตั้งแบบ
วันที่ 10 เมษายน 2561 ผู้รับจ้างเทคอนกรีต
วันที่ 11 เมษายน 2561 ผู้รับจ้างเทคอนกรีต
วันที่ 16 เมษายน 2561 ผู้รับจ้างปรับดินไหล่ทางพร้อมหยอดยางรอยต่อ
วันที่ 17 เมษายน 2561 ผู้รับจ้างส่งมอบงานก่อสร้าง
โดย นาย จ. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 ได้มีการรายงานความคืบหน้าเป็นรายสัปดาห์ ซึ่งคณะกรรมการตรวจงานจ้างได้ลงลายมือชื่อรับทราบรายงานความคืบหน้าเป็นรายสัปดาห์ดังกล่าวทุกครั้งและวันที่ 17 เมษายน 2561 ผู้รับจ้างได้มีหนังสือขอส่งมอบงาน เพื่อขอส่งมอบงานและเบิกค่าจ้างตามสัญญาจ้าง ซึ่ง นาย จ. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 ในฐานะช่างผู้ควบคุมงาน ได้จัดทำบันทึกรายงานผลการก่อสร้างว่า ผลการดำเนินการคิดเป็นร้อยละ 100 ของงานทั้งหมดให้ นาย ส. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ในฐานะนายกองค์การบริหารส่วนตำบล และผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ถึงที่ 6 ในฐานะคณะกรรมการตรวจการจ้าง ทราบและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ต่อมาเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2561 คณะกรรมการตรวจการจ้างจึงได้ร่วมกันลงพื้นที่ก่อสร้างเพื่อทำการตรวจรับงานจ้างโครงการดังกล่าว โดยผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ถึงที่ 6 ได้เข้าตรวจถนน คสล. เลียบคลอง ป. หมู่ที่ 3 ซึ่ง นาย จ. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 ได้วัดเพียงความยาว ความกว้าง และความหนาของถนนเพียงเท่านั้น โดยมิได้นำแบบ ปร.4, ปร.5 ซึ่งระบุรายละเอียดของงานมาประกอบการตรวจงานก่อสร้างแต่อย่างใด
ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ถึงที่ 6 ได้ร่วมกันจัดทำใบตรวจรับการจัดซื้อ/จัดจ้าง ลงวันที่ 18 เมษายน 2561 แจ้งว่าผลการตรวจรับถูกต้องครบถ้วนตามสัญญา ทำให้องค์การบริหารส่วนตำบล ป. จึงได้เบิกจ่ายเงินจำนวน 857,000 บาท ให้กับผู้รับจ้าง
หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2561 พนักงานไต่สวนสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดราชบุรี ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบชั้นทางโครงการฯ ร่วมกับเจ้าหน้าที่สังกัดแขวงทางหลวงชนบทราชบุรี จำนวน 3 คน รวมถึงผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 - 7 ปรากฏผลการตรวจสอบพบว่างานก่อสร้างไม่เป็นไปตามรายการดำเนินการในแบบ ปร.๔ อาทิ ในส่วนงานของผนังกั้นดินนั้น พบว่ามีเพียง 6 จุด จากที่ระบุไว้ใน แบบ ปร.๔ ว่ามีจำนวน 8 จุด จากข้อเท็จจริง ดังกล่าวจึงเป็นที่ยุติแล้วว่าการควบคุมงานและตรวจรับงานจ้างโครงการดังกล่าวไม่ถูกต้อง และเป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนตำบล ป. ทำการเบิกจ่ายเงินจำนวน 857,000 บาท ให้กับผู้รับจ้างไปโดยที่งานจ้างก่อสร้างไม่เป็นไปตามสัญญาเป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนตำบล ป. ได้รับความเสียหาย
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้
การกระทำของ นาย ห. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 , จ่าสิบเอก ธ. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 และนางสาว ช. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 ในฐานะคณะกรรมการตรวจการจ้าง จากการไต่สวนเบื้องต้น ไม่ปรากฏข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่าได้กระทำความผิดทางอาญาตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาทางอาญาไม่มีมูลให้ข้อกล่าวหาตกไป แต่จากการไต่สวนเบื้องต้นปรากฏพฤติการณ์ นาย ห. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 , จ่าสิบเอก ธ. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 และนางสาว ช. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 ในฐานะคณะกรรมการตรวจการจ้างได้ร่วมกันลงพื้นที่ก่อสร้างเพื่อทำการตรวจรับงานโครงการดังกล่าว โดยมี นาย จ. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 เป็นผู้ควบคุมงานนำคณะกรรมการตรวจการจ้างเข้าตรวจถนนโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กเลียบคลอง ป. หมู่ที่ 3 ตำบล ป. จังหวัดราชบุรี โดยการวัดความยาว ความกว้าง และความหนาของถนนเท่านั้น มิได้นำแบบ ปร.4 และ ปร.5 ซึ่งเป็นเอกสารระบุถึงรายละเอียดของงาน ปริมาณงานก่อสร้างตามสัญญา ให้คณะกรรมการตรวจการจ้างได้รับทราบ พร้อมทั้งมิได้นำคณะกรรมการตรวจการจ้างตรวจอย่างละเอียด และ นาย จ. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 มิได้แจ้งให้คณะกรรมการตรวจการจ้างทราบว่าปริมาณของงานก่อสร้างตามสัญญานั้นมีส่วนของการก่อสร้างผนังกันดินบริเวณท่อระบายน้ำ กำหนดไว้ 8 จุด อีกทั้งคณะกรรมการตรวจการจ้าง มิได้เรียกแบบ ปร.4 และ ปร.5 จาก นาย จ. ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๗ มาเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาในการตรวจการจ้างดังกล่าว จนเป็นเหตุให้คณะกรรมการตรวจการจ้างได้จัดทำใบตรวจรับว่าผลการตรวจรับถูกต้องครบถ้วนตามสัญญา ทั้งๆ ที่งานก่อสร้างดังกล่าวไม่เป็นไปตามสัญญาและเอกสารแบบ ปร.4 และ ปร.5 จนเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2561 องค์การบริหารส่วนตำบล ป. ได้ทำการเบิกจ่ายเงิน จำนวน 857,000 บาท ให้ผู้รับจ้าง
แต่เนื่องจากมาตรวจสอบภายหลังพบว่า การก่อสร้างผนังกันดินขาดไป 2 จุด คิดเป็นจำนวนเงิน 16,348.80 บาท หรือร้อยละ 2 ของค่างานทั้งโครงการ ดังนั้น การกระทำของ นาย ห. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ,จ่าสิบเอก ธ. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 และนางสาว ช. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 ในฐานะคณะกรรมการตรวจการจ้าง จึงมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดราชบุรี เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับวินัยและการรักษาวินัยและการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. 2559 ข้อ 9 วรรคสอง
การกระทำของ นาย จ. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการรับรองเป็นหลักฐานว่า ตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จและรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ตามประมาลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดราชบุรี เรื่องหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับวินัยและการรักษาวินัยและการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. 2559 ข้อ 7 วรรคสาม
ส่วน นาย ส. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 , นาย ช. (ผู้แทนชุมชน) ผู้ถูกกล่าวหาที่ 5 และร้อยตรี ส. (ผู้แทนชุมชน) ผู้ถูกกล่าวหาที่ 6 จากการไต่สวนเบื้องต้น ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่า ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีกับ นาย จ. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัยกับนาย ห. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 , จ่าสิบเอก ธ. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 และนางสาว ช. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 และนาย จ. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 แล้วแต่กรณีต่อไป
ทั้งนี้ ให้แจ้งองค์การบริหารส่วนตำบล ป. ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง
จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
.................................................................................
การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สิ้นสุด
ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด