จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 239
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
จำนวน 6 เรื่อง
วันนี้ (17 ตุลาคม 2568) นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จำนวน 6 เรื่อง ดังนี้
เรื่องที่ 1 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน กรณีกล่าวหา ร้อยตำรวจเอก ธนชัย เต๋ติยะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองสารวัตร (สอบสวน) สถานีตำรวจนครบาลท่าข้าม เรียกรับเงินจากผู้เสียหาย โดยอ้างว่าเป็นค่าสำนวนและค่าดำเนินการเร่งรัดในคดีที่ผู้เสียหาย ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดฐานฉ้อโกง
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 เวลาประมาณ 20.00 น. ร้อยตำรวจเอก ธนชัย เต๋ติยะ ขณะดำรงตำแหน่งรองสารวัตร (สอบสวน) สถานีตำรวจนครบาลท่าข้าม ปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวนผู้มีหน้าที่รับแจ้งความร้องทุกข์ ได้รับแจ้งความจากผู้เสียหายให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง แต่ยังไม่ยอมลงบันทึกประจำวันรับแจ้งความให้ผู้เสียหาย จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบเที่ยงคืนจึงพูดกับผู้เสียหายให้จ่ายเงินจำนวน 10,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นค่าทำสำนวนและค่าดำเนินการเร่งรัดคดีจนผู้เสียหายยินยอมจ่ายเงินสดให้จำนวน 10,000 บาท และร้อยตำรวจเอก ธนชัย เต๋ติยะ จึงได้ลงบันทึกประจำวันรับแจ้งความให้กับผู้เสียหาย โดยลงเวลาย้อนหลังเป็นเวลา 20.50 น. ต่อมาในวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ร้อยตำรวจเอก ธนชัย เต๋ติยะ ได้โทรศัพท์ไปหาผู้เสียหายและเรียกรับเงินเป็นค่าใช้จ่าย ในการ ทำสำนวนจากผู้เสียหายอีกจำนวน 30,000 บาท โดยให้โอนเข้าบัญชีธนาคารของร้อยตำรวจเอก ธนชัย เต๋ติยะ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้
การกระทำของร้อยตำรวจเอก ธนชัย เต๋ติยะ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 มาตรา 157 และมาตรา 201 ประกอบมาตรา 91 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561 มาตรา 128 ประกอบมาตรา 169 มาตรา 172 และมาตรา 173 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
สำหรับความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่ง กองบังคับการตำรวจนครบาล 9 ที่ 43/2565 ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 ลงโทษไล่ ร้อยตำรวจเอก ธนชัย เต๋ติยะ ออกจากราชการแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะต้องส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัย ไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการทางวินัย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (2) และมาตรา 98 อีก ให้แจ้งผลการพิจารณา ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้ผู้บังคับบัญชาทราบต่อไปให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยัง
อัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี ตามฐานความผิดดังกล่าวตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) ต่อไป
เรื่องที่ 2 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวนกรณีกล่าวหา นายอุดม เชียงบาล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลสร้างคอม อำเภอสร้างคอม จังหวัดอุดรธานี เรียกรับเงินเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการต่อสัญญาจ้างพนักงานจ้างตามภารกิจพนักงานจ้างทั่วไป และพนักงานจ้างเหมาบริการของเทศบาลตำบลสร้างคอม รวมจำนวน 14 ราย โดยมิชอบ
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อประมาณเดือนกันยายน ถึงเดือนตุลาคม 2564 ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่สัญญาจ้างของพนักงานจ้างตามภารกิจ พนักงานจ้างทั่วไป และพนักงานจ้างเหมาบริการของเทศบาลตำบลสร้างคอมใกล้จะสิ้นสุดลงในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ต่อเนื่องกับช่วงเวลาในการต่อสัญญาจ้างของพนักงานจ้างในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 นายอุดม เชียงบาล นายกเทศมนตรีตำบลสร้างคอม ได้อาศัยโอกาสที่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาต่อสัญญาจ้าง แจ้งให้พนักงานจ้างตามภารกิจ พนักงานจ้างทั่วไป และพนักงานจ้างเหมาบริการของเทศบาลตำบลสร้างคอม รวมจำนวน 14 ราย จ่ายเงินจำนวนรายละ 10,000 - 20,000 บาท ให้แก่นายอุดม เชียงบาล เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการต่อสัญญาจ้าง
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้
การกระทำของนายอุดม เชียงบาล มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมาตรา 173 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 73 ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 98 วรรคสี่ ต่อไป
เรื่องที่ 3 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวนกรณีกล่าวหา นางศรีสุรางค์ จำปาโชติ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองหว้า อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี กับพวก เรียกรับเงินเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการต่อสัญญาจ้างพนักงานจ้างทั่วไปและพนักงานจ้างเหมาบริการ โดยมิชอบ
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อประมาณเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน 2564 คณะผู้บริหารเทศบาลตำบลหนองหว้า อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ประกอบด้วย นางศรีสุรางค์ จำปาโชติ นายกเทศมนตรีตำบลหนองหว้า นายอนุรักษ์ วิจิตรศิลป์ รองนายกเทศมนตรีตำบลหนองหว้า นายถาวร ปราบมาลัย รองนายกเทศมนตรีตำบลหนองหว้า นายสัมฤทธิ์ ธรรมทาทอง ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีตำบลหนองหว้าและนายอุดมศักดิ์ ภาสดา เลขานุการนายกเทศมนตรีตำบลหนองหว้า ได้ร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับเงินจากพนักงานจ้างทั่วไปจำนวน 17 ราย และพนักงานจ้างเหมาบริการจำนวน 5 ราย ของเทศบาลตำบลหนองหว้า เป็นเงินจำนวนรายละ 10,000 บาท เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการต่อสัญญาจ้างตลอดระยะเวลา 4 ปี ที่คณะผู้บริหารเทศบาลตำบลหนองหว้าอยู่ในระหว่างดำรงตำแหน่ง เป็นเหตุให้พนักงานจ้างทั่วไปและพนักงานจ้างเหมาบริการ รวม 22 รายดังกล่าว ได้ยินยอมจ่ายเงินจำนวนรายละ 5,000 – 10,000 บาท ให้แก่นางศรีสุรางค์ จำปาโชติ กับพวก รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 185,000 บาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) (2) และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 98 วรรคสี่ แล้วแต่กรณีต่อไป
เรื่องที่ 4 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการ ไต่สวน กรณีกล่าวหา นายทอง ชินวงค์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าคล้อ อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ กับพวก เรียกรับเงินจากพนักงานจ้าง จำนวน 5 ราย เพื่อเป็นค่าตอบแทน ในการต่อสัญญา
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อประมาณเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม 2559 ขณะที่ นายทอง ชินวงค์ ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าคล้อ อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ มีอำนาจหน้าที่พิจารณาต่อสัญญาจ้างให้กับพนักงานจ้างตามภารกิจและพนักงานจ้างทั่วไปขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าคล้อได้เรียกพนักงานจ้างตามภารกิจและพนักงานจ้างทั่วไปที่ใกล้จะหมดสัญญาจ้าง จำนวน 4 ราย ไปพูดคุยที่ห้องทำงานของตนและอ้างว่าพนักงานจ้างดังกล่าวปฏิบัติงานบกพร่องต่อหน้าที่ เพื่อเรียกรับเงินเป็นค่าตอบแทนในการต่อสัญญาจ้างรายละ 10,000 – 30,000 บาท และในระหว่างปี 2560 – 2562 นายวิลัย ซุมซุย รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าคล้อ ได้เรียกรับเงินจากพนักงานจ้างตามภารกิจรายหนึ่งเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการต่อสัญญาจ้างเป็นเหตุให้พนักงานจ้างจำนวน 3 ราย ได้จ่ายเงินให้กับนายทอง ชินวงค์ และนายวิลัย ซุมซุย เป็นค่าตอบแทนในการต่อสัญญาในปีงบประมาณ 2560 - 2562 รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 22,000 บาท โดยมีนายบุญมี เกษแก้ว พนักงานขับรถยนต์ เป็นผู้ติดต่อพนักงานจ้างให้จ่ายเงินและรับเงินจากพนักงานจ้างเพื่อส่งมอบให้กับนายทอง ชินวงค์
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้
สำหรับนายบุญมี เกษแก้ว จากการไต่สวนเบื้องต้นปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้ถึงแก่ความตายแล้ว
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และสำนวนการไต่สวนไปยัง ผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอน เพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 98 วรรคสี่ แล้วแต่กรณีต่อไป
เรื่องที่ 5 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน กรณีกล่าวหา นายธนาวัฒน์ อภัยศิลา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลพยุห์ อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ เรียกรับผลประโยชน์ตอบแทนจากผู้รับจ้างโครงการซ่อมบำรุงรถยนต์เก็บขยะ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ก่อนที่เทศบาลตำบลพยุห์ อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ จะดำเนินโครงการจ้างซ่อมบำรุงรถยนต์เก็บขยะของเทศบาลที่ชำรุด นายธนาวัฒน์ อภัยศิลา นายกเทศมนตรีตำบลพยุห์ ได้ไปติดต่อช่างซ่อมรถยนต์รายหนึ่งเพื่อให้เป็นผู้รับจ้างซ่อมรถยนต์เก็บขยะของเทศบาล โดยเรียกรับผลประโยชน์ตอบแทนจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินค่าจ้าง จากนั้นนายธนาวัฒน์ อภัยศิลา ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่พัสดุดำเนินการจัดจ้างซ่อมรถยนต์เก็บขยะของเทศบาลโดยวิธีเฉพาะเจาะจงกับบุคคลที่ตนได้ตกลงไว้ล่วงหน้าให้เป็นผู้รับจ้างตามใบสั่งจ้าง ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2564 วงเงิน 122,250 บาท โดยนำชื่อภรรยาของบุคคลดังกล่าวเป็นคู่สัญญาแทน ต่อมาเมื่อการดำเนินโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จและมีการเบิกจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ผู้รับจ้างแล้ว ผู้รับจ้างจึงได้นำเงินสดจำนวน 10,000 บาท ไปมอบให้นายธนาวัฒน์ อภัยศิลา ในวันที่ 29 ธันวาคม 2564 เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการได้เข้าเป็นคู่สัญญาดังกล่าว
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้
การกระทำของนายธนาวัฒน์ อภัยศิลา มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 มาตรา 151 และมาตรา 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 73 ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัยกับ นายธนาวัฒน์ อภัยศิลา ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 98 วรรคสี่ แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ให้แจ้งเทศบาลตำบลพยุห์ ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายต่อไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง
เรื่องที่ 6 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน กรณีกล่าวหา นายคนึงเดช แก้วขวัญ ปลัดเทศบาลตำบลท่างิ้ว อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช กับพวก เรียกรับเงินจำนวน 300,000 บาท เป็นค่าตอบแทนในการตรวจรับงานจ้างและควบคุมงานโครงการจัดจ้างตกแต่งภายในอาคารสำนักงานเทศบาลตำบลท่างิ้ว (หลังใหม่)
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2562 ภายหลังจากผู้รับจ้างตามสัญญาจ้างเลขที่ 9/2562 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 ได้ส่งมอบงานโครงการจัดจ้างตกแต่งภายในอาคารสำนักงานเทศบาลตำบลท่างิ้ว (หลังใหม่) งวดที่ 1 นายคนึงเดช แก้วขวัญ ปลัดเทศบาลตำบลท่างิ้ว ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการตรวจรับพัสดุ ได้ร่วมกับนายพูลผล เที่ยวแสวง วิศวกรโยธาชำนาญการในฐานะผู้ควบคุมงาน เรียกรับเงินจากผู้รับจ้าง จำนวน 300,000 บาท เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการตรวจรับงานจ้างและควบคุมงาน ต่อมาเมื่อคณะกรรมการตรวจรับพัสดุได้ตรวจรับงานจ้างงวดที่ 1 และเทศบาลตำบลท่างิ้วได้เบิกจ่ายเงินค่าจ้าง จำนวน 1,797,000 บาท ให้แก่ผู้รับจ้างแล้ว ในวันที่ 6 เมษายน 2562 ผู้รับจ้างจึงได้โอนเงินจำนวน 289,500 บาท ให้นายคนึงเดช แก้วขวัญ และนายพูลผล เที่ยวแสวง ผ่านทางบัญชีธนาคารของลูกจ้างของภรรยานายพูลผล เที่ยวแสวง ตามที่มีการเรียกรับ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้
การกระทำของนายคนึงเดช แก้วขวัญ และนายพูลผล เที่ยวแสวง มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมาตรา 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมาตรา 173 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 ต่อไป