Contrast
Font
68f5042fce02625cb4074bd43787a062.jpg

คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จำนวน 6 เรื่อง

จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 239

17/10/2568

คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
จำนวน 6 เรื่อง

วันนี้ (17 ตุลาคม 2568) นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จำนวน 6 เรื่อง ดังนี้  

เรื่องที่ 1 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน กรณีกล่าวหา ร้อยตำรวจเอก ธนชัย เต๋ติยะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองสารวัตร (สอบสวน) สถานีตำรวจนครบาลท่าข้าม เรียกรับเงินจากผู้เสียหาย โดยอ้างว่าเป็นค่าสำนวนและค่าดำเนินการเร่งรัดในคดีที่ผู้เสียหาย  ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดฐานฉ้อโกง

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 เวลาประมาณ 20.00 น. ร้อยตำรวจเอก ธนชัย เต๋ติยะ ขณะดำรงตำแหน่งรองสารวัตร (สอบสวน) สถานีตำรวจนครบาลท่าข้าม ปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวนผู้มีหน้าที่รับแจ้งความร้องทุกข์ ได้รับแจ้งความจากผู้เสียหายให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง แต่ยังไม่ยอมลงบันทึกประจำวันรับแจ้งความให้ผู้เสียหาย จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบเที่ยงคืนจึงพูดกับผู้เสียหายให้จ่ายเงินจำนวน 10,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นค่าทำสำนวนและค่าดำเนินการเร่งรัดคดีจนผู้เสียหายยินยอมจ่ายเงินสดให้จำนวน 10,000 บาท และร้อยตำรวจเอก ธนชัย เต๋ติยะ จึงได้ลงบันทึกประจำวันรับแจ้งความให้กับผู้เสียหาย โดยลงเวลาย้อนหลังเป็นเวลา 20.50 น. ต่อมาในวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ร้อยตำรวจเอก ธนชัย เต๋ติยะ ได้โทรศัพท์ไปหาผู้เสียหายและเรียกรับเงินเป็นค่าใช้จ่าย ในการ    ทำสำนวนจากผู้เสียหายอีกจำนวน 30,000 บาท โดยให้โอนเข้าบัญชีธนาคารของร้อยตำรวจเอก ธนชัย เต๋ติยะ

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้

การกระทำของร้อยตำรวจเอก ธนชัย เต๋ติยะ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 มาตรา 157 และมาตรา 201 ประกอบมาตรา 91 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561 มาตรา 128 ประกอบมาตรา 169 มาตรา 172 และมาตรา 173 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง

สำหรับความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่ง    กองบังคับการตำรวจนครบาล 9 ที่ 43/2565 ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 ลงโทษไล่ ร้อยตำรวจเอก ธนชัย เต๋ติยะ ออกจากราชการแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะต้องส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัย  ไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการทางวินัย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (2) และมาตรา 98 อีก ให้แจ้งผลการพิจารณา    ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้ผู้บังคับบัญชาทราบต่อไปให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยัง
อัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี ตามฐานความผิดดังกล่าวตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) ต่อไป

เรื่องที่ 2 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวนกรณีกล่าวหา นายอุดม เชียงบาล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลสร้างคอม อำเภอสร้างคอม จังหวัดอุดรธานี เรียกรับเงินเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการต่อสัญญาจ้างพนักงานจ้างตามภารกิจพนักงานจ้างทั่วไป และพนักงานจ้างเหมาบริการของเทศบาลตำบลสร้างคอม รวมจำนวน 14 ราย โดยมิชอบ

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อประมาณเดือนกันยายน ถึงเดือนตุลาคม 2564 ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่สัญญาจ้างของพนักงานจ้างตามภารกิจ พนักงานจ้างทั่วไป และพนักงานจ้างเหมาบริการของเทศบาลตำบลสร้างคอมใกล้จะสิ้นสุดลงในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ต่อเนื่องกับช่วงเวลาในการต่อสัญญาจ้างของพนักงานจ้างในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 นายอุดม เชียงบาล นายกเทศมนตรีตำบลสร้างคอม   ได้อาศัยโอกาสที่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาต่อสัญญาจ้าง แจ้งให้พนักงานจ้างตามภารกิจ พนักงานจ้างทั่วไป และพนักงานจ้างเหมาบริการของเทศบาลตำบลสร้างคอม รวมจำนวน 14 ราย จ่ายเงินจำนวนรายละ 10,000 - 20,000 บาท ให้แก่นายอุดม เชียงบาล เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการต่อสัญญาจ้าง

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้

การกระทำของนายอุดม  เชียงบาล มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมาตรา 173 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 73 ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 98 วรรคสี่ ต่อไป

เรื่องที่ 3 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวนกรณีกล่าวหา นางศรีสุรางค์ จำปาโชติ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองหว้า อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี กับพวก เรียกรับเงินเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการต่อสัญญาจ้างพนักงานจ้างทั่วไปและพนักงานจ้างเหมาบริการ โดยมิชอบ

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อประมาณเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน 2564 คณะผู้บริหารเทศบาลตำบลหนองหว้า อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ประกอบด้วย นางศรีสุรางค์ จำปาโชติ นายกเทศมนตรีตำบลหนองหว้า นายอนุรักษ์ วิจิตรศิลป์ รองนายกเทศมนตรีตำบลหนองหว้า นายถาวร ปราบมาลัย รองนายกเทศมนตรีตำบลหนองหว้า นายสัมฤทธิ์ ธรรมทาทอง ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีตำบลหนองหว้าและนายอุดมศักดิ์ ภาสดา เลขานุการนายกเทศมนตรีตำบลหนองหว้า ได้ร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับเงินจากพนักงานจ้างทั่วไปจำนวน 17 ราย และพนักงานจ้างเหมาบริการจำนวน 5 ราย ของเทศบาลตำบลหนองหว้า เป็นเงินจำนวนรายละ 10,000 บาท เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการต่อสัญญาจ้างตลอดระยะเวลา 4 ปี ที่คณะผู้บริหารเทศบาลตำบลหนองหว้าอยู่ในระหว่างดำรงตำแหน่ง เป็นเหตุให้พนักงานจ้างทั่วไปและพนักงานจ้างเหมาบริการ รวม 22 รายดังกล่าว ได้ยินยอมจ่ายเงินจำนวนรายละ 5,000 – 10,000 บาท ให้แก่นางศรีสุรางค์ จำปาโชติ กับพวก รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 185,000 บาท

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้

  1. การกระทำของนางศรีสุรางค์ จำปาโชติ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมาตรา 173 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 73
  2. การกระทำของนายอนุรักษ์ วิจิตรศิลป์ นายถาวร ปราบมาลัย นายสัมฤทธิ์ ธรรมทาทอง
    และนายอุดมศักดิ์ ภาสดา มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 มาตรา 151
    และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 91 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมาตรา 173 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และมาตรา 91 และการกระทำของนายอนุรักษ์ วิจิตรศิลป์ และนายถาวร ปราบมาลัย มีมูลความผิด ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 73

ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) (2) และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 98 วรรคสี่ แล้วแต่กรณีต่อไป

เรื่องที่ 4 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการ      ไต่สวน กรณีกล่าวหา นายทอง ชินวงค์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าคล้อ อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ กับพวก เรียกรับเงินจากพนักงานจ้าง จำนวน 5 ราย เพื่อเป็นค่าตอบแทน  ในการต่อสัญญา

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อประมาณเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม 2559 ขณะที่ นายทอง ชินวงค์ ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าคล้อ อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ มีอำนาจหน้าที่พิจารณาต่อสัญญาจ้างให้กับพนักงานจ้างตามภารกิจและพนักงานจ้างทั่วไปขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าคล้อได้เรียกพนักงานจ้างตามภารกิจและพนักงานจ้างทั่วไปที่ใกล้จะหมดสัญญาจ้าง จำนวน 4 ราย ไปพูดคุยที่ห้องทำงานของตนและอ้างว่าพนักงานจ้างดังกล่าวปฏิบัติงานบกพร่องต่อหน้าที่ เพื่อเรียกรับเงินเป็นค่าตอบแทนในการต่อสัญญาจ้างรายละ 10,000 – 30,000 บาท และในระหว่างปี 2560 – 2562 นายวิลัย ซุมซุย รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าคล้อ ได้เรียกรับเงินจากพนักงานจ้างตามภารกิจรายหนึ่งเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการต่อสัญญาจ้างเป็นเหตุให้พนักงานจ้างจำนวน 3 ราย ได้จ่ายเงินให้กับนายทอง ชินวงค์ และนายวิลัย ซุมซุย เป็นค่าตอบแทนในการต่อสัญญาในปีงบประมาณ 2560 - 2562 รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 22,000 บาท โดยมีนายบุญมี เกษแก้ว พนักงานขับรถยนต์ เป็นผู้ติดต่อพนักงานจ้างให้จ่ายเงินและรับเงินจากพนักงานจ้างเพื่อส่งมอบให้กับนายทอง ชินวงค์

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้

  1. การกระทำของนายทอง ชินวงค์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 92
  2. การกระทำของนายวิลัย ซุมซุย มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิด และมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 92 ให้ส่งเรื่องให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งหรือถอดถอนดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 64

สำหรับนายบุญมี เกษแก้ว จากการไต่สวนเบื้องต้นปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้ถึงแก่ความตายแล้ว
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และสำนวนการไต่สวนไปยัง      ผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอน เพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 98 วรรคสี่ แล้วแต่กรณีต่อไป

เรื่องที่ 5 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน กรณีกล่าวหา นายธนาวัฒน์ อภัยศิลา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลพยุห์ อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ เรียกรับผลประโยชน์ตอบแทนจากผู้รับจ้างโครงการซ่อมบำรุงรถยนต์เก็บขยะ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ก่อนที่เทศบาลตำบลพยุห์ อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ จะดำเนินโครงการจ้างซ่อมบำรุงรถยนต์เก็บขยะของเทศบาลที่ชำรุด นายธนาวัฒน์ อภัยศิลา นายกเทศมนตรีตำบลพยุห์ ได้ไปติดต่อช่างซ่อมรถยนต์รายหนึ่งเพื่อให้เป็นผู้รับจ้างซ่อมรถยนต์เก็บขยะของเทศบาล โดยเรียกรับผลประโยชน์ตอบแทนจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินค่าจ้าง จากนั้นนายธนาวัฒน์ อภัยศิลา ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่พัสดุดำเนินการจัดจ้างซ่อมรถยนต์เก็บขยะของเทศบาลโดยวิธีเฉพาะเจาะจงกับบุคคลที่ตนได้ตกลงไว้ล่วงหน้าให้เป็นผู้รับจ้างตามใบสั่งจ้าง ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2564 วงเงิน 122,250 บาท โดยนำชื่อภรรยาของบุคคลดังกล่าวเป็นคู่สัญญาแทน ต่อมาเมื่อการดำเนินโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จและมีการเบิกจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ผู้รับจ้างแล้ว ผู้รับจ้างจึงได้นำเงินสดจำนวน 10,000 บาท ไปมอบให้นายธนาวัฒน์ อภัยศิลา ในวันที่ 29 ธันวาคม 2564 เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการได้เข้าเป็นคู่สัญญาดังกล่าว

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้

การกระทำของนายธนาวัฒน์ อภัยศิลา มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 มาตรา 151 และมาตรา 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496  และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 73 ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัยกับ นายธนาวัฒน์ อภัยศิลา ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 98 วรรคสี่ แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ให้แจ้งเทศบาลตำบลพยุห์ ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายต่อไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง

เรื่องที่ 6 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน กรณีกล่าวหา นายคนึงเดช แก้วขวัญ ปลัดเทศบาลตำบลท่างิ้ว อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช กับพวก เรียกรับเงินจำนวน 300,000 บาท เป็นค่าตอบแทนในการตรวจรับงานจ้างและควบคุมงานโครงการจัดจ้างตกแต่งภายในอาคารสำนักงานเทศบาลตำบลท่างิ้ว (หลังใหม่)

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2562 ภายหลังจากผู้รับจ้างตามสัญญาจ้างเลขที่ 9/2562 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 ได้ส่งมอบงานโครงการจัดจ้างตกแต่งภายในอาคารสำนักงานเทศบาลตำบลท่างิ้ว (หลังใหม่) งวดที่ 1 นายคนึงเดช แก้วขวัญ ปลัดเทศบาลตำบลท่างิ้ว ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการตรวจรับพัสดุ ได้ร่วมกับนายพูลผล เที่ยวแสวง วิศวกรโยธาชำนาญการในฐานะผู้ควบคุมงาน เรียกรับเงินจากผู้รับจ้าง จำนวน 300,000 บาท เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการตรวจรับงานจ้างและควบคุมงาน ต่อมาเมื่อคณะกรรมการตรวจรับพัสดุได้ตรวจรับงานจ้างงวดที่ 1 และเทศบาลตำบลท่างิ้วได้เบิกจ่ายเงินค่าจ้าง  จำนวน 1,797,000 บาท ให้แก่ผู้รับจ้างแล้ว ในวันที่ 6 เมษายน 2562 ผู้รับจ้างจึงได้โอนเงินจำนวน 289,500 บาท ให้นายคนึงเดช แก้วขวัญ และนายพูลผล เที่ยวแสวง ผ่านทางบัญชีธนาคารของลูกจ้างของภรรยานายพูลผล เที่ยวแสวง ตามที่มีการเรียกรับ

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้

การกระทำของนายคนึงเดช แก้วขวัญ และนายพูลผล เที่ยวแสวง มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมาตรา 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมาตรา 173 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 ต่อไป

Related