Contrast
Font
5caa5564f68a94ef3bd8d767ba29260f.jpg

คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อหน้าที่ราชการ จำนวน 3 เรื่อง

จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 4579

25/06/2567

คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อหน้าที่ราชการ จำนวน 3 เรื่อง

     วันนี้ (25 มิถุนายน 2567) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อหน้าที่ราชการ จำนวน 3 เรื่อง ดังนี้  

     เรื่องที่ 1 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่า นายชลิต หอมหวล นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ สำนักงานศุลกากรกรุงเทพ กรมศุลกากร กับพวก ช่วยเหลือผู้ประกอบการนำเข้ารถยนต์ที่ไม่ใช่ตัวแทน ด้วยการรับราคารถยนต์นั่งใหม่สำเร็จรูปที่นำเข้าจากต่างประเทศที่สำแดงราคาต่ำกว่าความเป็นจริงเป็นราคาศุลกากร และตรวจปล่อยไปจากอารักขาศุลกากร รวมจำนวน 62 คัน  (2 สำนวนคดี)

      ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏจากหลักฐานบัญชีราคาสินค้า (INVOICE) ซึ่งเป็นหลักฐานตามคำร้องขอความร่วมมือระหว่างประเทศในทางอาญาจากสาธารณรัฐอิตาลี ว่ารถยนต์ยี่ห้อ LAMBORGHINI และยี่ห้อ MASERATI จำนวน 122 คัน ที่นำเข้าโดยบริษัท จูบิลี่ไลน์ จำกัด บริษัท เบนซ์นครินทร์ ออโต้ กรุ๊ป จำกัด และบริษัท เฟอร์ม่า มอเตอร์ จำกัด มีการสำแดงราคาต่ำกว่าความเป็นจริง โดยระหว่างวันที่ 17 มกราคม 2554 ถึงวันที่ 28 ตุลาคม 2557 นายชลิต หอมหวล นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ นายเอกสิทธิ์ รัตนะ นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ (เสียชีวิตแล้ว) และนายนิตย์ชัย ร่มสุขวนาสันต์ นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ สังกัดสำนักงานศุลกากรกรุงเทพ นายสนองชัย  เลขกลาง นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ นายธนพล  มณีรัตน์ นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ นายอภิชาต  แย้มมณี นักวิชาการศุลกากรปฏิบัติการ นายพรชัย เกศไตรทิพย์ นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ และนายศรัณยพงศ์  สุรรัตน์ นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ สังกัดสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ได้ตรวจปล่อยรถยนต์นั่งใหม่สำเร็จรูปยี่ห้อ LAMBORGHINI ซึ่งนำเข้าโดยบริษัท จูบิลี่ไลน์ จำกัด และบริษัท เบนซ์นครินทร์ ออโต้ กรุ๊ป จำกัด จำนวน 29 คัน และยี่ห้อ MASERATI ซึ่งนำเข้าโดยบริษัท เฟอร์ม่า มอเตอร์ จำกัด จำนวน 33 คัน ตามใบขนสินค้าซึ่งสำแดงราคาต่ำกว่าความเป็นจริงเป็นราคาศุลกากรและได้ชำระค่าภาษีอากรแล้ว ไปจากอารักขาของศุลกากร โดยรู้อยู่แล้วว่าราคาที่บริษัทผู้นำเข้าทั้งสามบริษัทสำแดงไม่ใช่ราคาที่ได้ชำระจริงและเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาซื้อขายจริง ทำให้บริษัทผู้นำเข้าได้ประโยชน์ในการชำระค่าภาษีอากรนำเข้าน้อยกว่าที่ต้องชำระจริง เป็นเหตุให้กรมศุลกากร กรมสรรพากร และกรมสรรพสามิต ได้รับความเสียหาย
รวมเป็นเงินจำนวนไม่น้อยกว่า 897,148,369 บาท

       คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้

  1. การกระทำของนายชลิต หอมหวล นายสนองชัย เลขกลาง นายธนพล  มณีรัตน์ นายพรชัย  เกศไตรทิพย์ นายนิตย์ชัย ร่มสุขวนาสันต์ นายอภิชาต แย้มมณี และนายศรัณยพงศ์ สุรรัตน์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 154 มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) ประกอบมาตรา 91 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 แล้วแต่กรณี และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
  2. การกระทำของบริษัท จูบิลี่ไลน์ จำกัด บริษัท เบนซ์นครินทร์ ออโต้ กรุ๊ป จำกัด บริษัท เฟอร์ม่า มอเตอร์ จำกัด และเอกชนที่เกี่ยวข้อง มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิด และฐานความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง

    ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจ และส่งรายงาน สํานวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคําวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) (2) และมาตรา 98 แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ให้แจ้งกรมศุลกากรดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหาย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง และให้ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนดำเนินการทางวินัยไปตามหน้าที่และอำนาจกับผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหา กรณีบกพร่องไม่ควบคุมกำกับดูแลการปฏิบัติงานของผู้ถูกกล่าวหา จนเป็นเหตุให้กรมศุลกากรได้รับความเสียหายตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 64 ต่อไป

    (สำหรับกรณีการนำเข้ารถยนต์ยี่ห้อ LAMBORGHINI และยี่ห้อ MASERATI อีกจำนวน 60 คัน  อยู่ระหว่างการไต่สวน)

      เรื่องที่ 2 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน  กรณีกล่าวหา ว่าที่ร้อยตรี อภิสัคค์ พรหมสวาสดิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอัยการพิเศษฝ่าย สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 4 (ยานนาวา) สำนักงานอัยการสูงสุด กับพวก เรียกรับเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือทางคดีผู้ต้องหาชาวจีน ซึ่งใช้หนังสือเดินทางปลอมในการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร

     ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 – 29 มกราคม 2563  นางสาวธัญญา เต็มชำนาญ ได้ติดต่อกับญาติของผู้ต้องหาชาวจีนซึ่งถูกดำเนินคดีในความผิดฐานปลอมหนังสือเดินทางและใช้หนังสือเดินทางปลอมของสถานีตำรวจภูธรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และนัดหมายให้พบกับว่าที่ร้อยตรี อภิสัคค์ พรหมสวาสดิ์ อัยการพิเศษฝ่าย สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 4 (ยานนาวา) สำนักงานอัยการสูงสุด
ว่าที่ร้อยตรี อภิสัคค์ พรหมสวาสดิ์ ได้อ้างกับญาติของผู้ต้องหาว่าสามารถช่วยเหลือทางคดีได้ และเรียกรับเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายจำนวน 500,000 บาท ญาติของผู้ต้องหาได้หลงเชื่อและจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้ว่าที่ร้อยตรี อภิสัคค์ พรหมสวาสดิ์ ผ่านนางสาวธัญญา เต็มชำนาญ การกระทำของว่าที่ร้อยตรี อภิสัคค์ พรหมสวาสดิ์ กับพวก จึงเป็นการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจเจ้าพนักงานของรัฐ โดยวิธีอันทุจริต
หรือผิดกฎหมาย เพื่อให้กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณแก่ผู้ต้องหา

      คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้

  1. การกระทำของว่าที่ร้อยตรี อภิสัคค์ พรหมสวาสดิ์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 175 และมาตรา 128 และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2543 ข้อ 4 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
  2. การกระทำของนางสาวธัญญา เต็มชำนาญ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 175

     ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัย ไปยัง อัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจ และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการทางวินัย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) (2) และมาตรา 98 แล้วแต่กรณีต่อไป 

     เรื่องที่ 3 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน  กรณีกล่าวหา พันตำรวจตรี วรภาส หรือนายนพรัตน์  บุญศรี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดสระบุรี ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานศุลกากรประจำสำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อช่วยเหลือให้ไม่ต้องเปิดกระเป๋าเดินทางที่ภายในบรรจุนอแรด

      ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2560 พันตำรวจตรี วรภาส หรือนายนพรัตน์  บุญศรี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดสระบุรี ได้เสนอให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานศุลกากร ประจำสำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสาร
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มบุคคลผู้ลักลอบนำนอแรดคละขนาด จำนวน 12 นอ/ชิ้น น้ำหนักรวม  49.4 กิโลกรัม เข้ามาในราชอาณาจักร ไม่ให้ต้องถูกดำเนินคดีอาญา การกระทำของพันตำรวจตรี วรภาส หรือ นายนพรัตน์  บุญศรี จึงเป็นการให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่

          คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้

          การกระทำของพันตำรวจตรี วรภาส หรือนายนพรัตน์ บุญศรี มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/5 วรรคหนึ่ง (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 176) และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง

       ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญา ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) สำหรับมูลความผิดทางวินัย เนื่องจากคณะกรรมการอัยการได้มีคำสั่งลงโทษไล่ออกพันตำรวจตรี วรภาส หรือนายนพรัตน์ บุญศรี เหมาะสมตามควรแก่กรณีแล้ว จึงไม่มีเหตุให้ต้องส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยอีก

       จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

 

               การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด

         ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด

Related