Contrast
Font
c087ca4f806f2bf891477208ca75776b.jpg

คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ รวมจำนวน 2 เรื่อง

จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 1881

21/08/2567

คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ รวมจำนวน 2 เรื่อง

     วันนี้ (21 สิงหาคม 2567) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ รวมจำนวน 2 เรื่อง ดังนี้  

เรื่องที่ 1 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นดำเนินการไต่สวน กรณีกล่าวหาสรรพากรพื้นที่ จำนวน 4 แห่ง กับพวก คืนภาษีมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ประกอบการส่งออกซึ่งไม่มีสิทธิได้รับ และนายพิสัย วงษ์ศิริ นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ และนายกฤตภัค  หนูเพชร นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ ด่านศุลกากรหนองคาย กับพวก ตรวจปล่อยสินค้าตามใบขนสินค้าขาออกโดยทุจริต เป็นเหตุให้ราชการได้รับความเสียหาย
รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น
613,877,793.31 บาท (5 สำนวนคดี)

       ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ในระหว่างปี พ.ศ. 2553 – 2556 นายชัยโรจน์  เกียรติกิตติธนา หรือนายชัยโรจน์ ชาญญาเกียรติ กับพวก และนางสาวจรรยา พุทธา หรือนางสาวณฐาณัฏฐ์  ฐานิตธินิดา กับพวกได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำกัดขึ้นหลายแห่งเพื่อแสดงว่าเป็นผู้ประกอบกิจการซื้อขายและส่งออกสินค้าประเภทคอมพิวเตอร์ และจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งที่มิได้ประกอบกิจการจริงและมีวัตถุประสงค์เพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นเท็จ โดยบริษัทที่จัดตั้งเป็นผู้ขายภายในประเทศได้ออกใบกำกับภาษีซื้อให้กับบริษัทผู้ส่งออกทั้งที่ไม่มีการซื้อขายกันจริง และบริษัทที่จัดตั้งเป็นผู้ส่งออกได้ส่งออกสินค้าไปยังประเทศลาว โดยจัดทำเอกสารใบกำกับสินค้า (Invoice) อันเป็นเท็จว่ามีการส่งสินค้าออกสำหรับผ่านพิธีการศุลกากร โดยมีนายพิสัย วงษ์ศิริ นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ และนายกฤตภัค หนูเพชร นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ ด่านศุลกากรหนองคาย ปฏิบัติหน้าที่ตรวจปล่อยสินค้าตามใบขนสินค้าขาออก ทั้งที่สินค้าที่ส่งออกไม่ตรงกับที่สำแดงไว้ในรายการใบขนสินค้า โดยได้รับค่าตอบแทนในการดำเนินการเป็นเงินจำนวนครั้งละ 40,000 – 80,000 บาท ทำให้บริษัทผู้ส่งออกได้ไปซึ่งหลักฐานสำเนาใบขนสินค้าขาออกในนามของผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ผ่านพิธีการศุลกากรฉบับที่มีการสลักหลังการตรวจปล่อยสินค้าโดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรและได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 แล้วนำไปใช้เป็นเอกสารประกอบในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ต่อกรมสรรพากร โดยแสดงให้เห็นว่ามีภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีซึ่งถูกเรียกเก็บและนำส่งต่อกรมสรรพากร มากกว่าภาษีขาย และสรรพากรพื้นที่ที่รับผิดชอบ ประกอบด้วย นางธนาพัณ  ไวทยินทร์ สรรพากรพื้นที่สมุทรปราการ 2 นางกัญญา  อัศวโกวิทกรณ์ สรรพากรพื้นที่สมุทรสาคร 1 นายบุญเสริม  สังข์มงคล สรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 21 และนายนิตย์  ลิมปิทีป สรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 5 กับพวก ได้อนุมัติให้คืนภาษีมูลค่าเพิ่มแก่บริษัทผู้ส่งออก รวมจำนวน 17 ราย โดยไม่มีสิทธิได้รับ เป็นเหตุให้กรมสรรพากรได้รับความเสียหาย รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 613,877,793.31 บาท

          คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้

  1. การกระทำของสรรพากรพื้นที่ ประกอบด้วย นางธนาพัณ ไวทยินทร์ สรรพากรพื้นที่สมุทรปราการ 2 นางกัญญา  อัศวโกวิทกรณ์ สรรพากรพื้นที่สมุทรสาคร 1 นายบุญเสริม  สังข์มงคล สรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 21 นายนิตย์  ลิมปิทีป สรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 5 และการกระทำของผู้ปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทนสรรพากรพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 มาตรา 154 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 แล้วแต่กรณี และ
    มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
  2. การกระทำของเจ้าหน้าที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ซึ่งดำรงตำแหน่งนักตรวจสอบภาษีชำนาญการและชำนาญการพิเศษ รวม 10 ราย มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 154 และ
    มาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 มาตรา 147 และมาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 91 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 แล้วแต่กรณี และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
  3. การกระทำของนายพิสัย วงษ์ศิริ นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ และนายกฤตภัค  หนูเพชร นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 มาตรา 154 มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) ประกอบมาตรา 91 มาตรา 147 และมาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 91 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 แล้วแต่กรณี และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
  4. การกระทำของนายชัยโรจน์ เกียรติกิตติธนา หรือนายชัยโรจน์  ชาญญาเกียรติ นางสาวจรรยา  พุทธา หรือนางสาวณฐาณัฏฐ์  ฐานิตธินิดา และเอกชนซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวม 55 ราย มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิด ฐานฉ้อโกง และฐานความผิดอื่น ที่เกี่ยวข้องตามประมวลรัษฎากร

ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัย ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัย ไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 แล้วแต่กรณี
และให้แจ้งกรมสรรพากร และกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหาย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง

 

   เรื่องที่ 2 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน กรณีกล่าวหา นายอิศรา ซามัน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนักวิชาการศุลกากรชำนาญการ ด่านศุลกากรสังขละบุรี
จังหวัดกาญจนบุรี กับพวก  ตรวจปล่อยสินค้าตามใบขนสินค้าขาออกอันเป็นเท็จ

      ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า กรณีการไต่สวนเรื่องนี้สืบเนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนายจำรูญ ควรสวัสดิ์ สรรพากรพื้นที่กาญจนบุรี และสรรพากรพื้นที่สมุทรสงคราม กับพวก ทุจริตคืนเงิน     ภาษีมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ไม่มีสิทธิได้รับ เพราะไม่ได้เป็นผู้ประกอบกิจการส่งสินค้าออกจริง เมื่อปี พ.ศ. 2553 – 2557 โดยขณะเกิดเหตุ นายอิศรา ซามัน นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ นายสุรพงษ์ วงวาศ นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ และนายสุเทพ เลี่ยวสมบูรณ์ นักวิชาการศุลกากรชำนาญการ ซึ่งได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ตรวจปล่อยสินค้าตามใบขนสินค้าขาออกให้แก่ผู้ประกอบการส่งออกสินค้าผ่านด่านศุลกากรสังขละบุรีและด่านพรมแดน (ด่านเจดีย์สามองค์) จังหวัดกาญจนบุรี ไปยังประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า ได้กระทำการตรวจปล่อยและรับบรรทุกสินค้าตามใบขนสินค้าขาออกในระบบคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากร โดยมิได้ปฏิบัติหน้าที่ตามขั้นตอนปกติ เพื่อให้บริษัทผู้ประกอบการได้ไปซึ่งหลักฐานสำเนาใบขนสินค้าขาออก ในนามของผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ผ่านพิธีการศุลกากรฉบับที่มีการสลักหลังการตรวจปล่อยสินค้าโดยเจ้าหน้าที่ศุลกากร ทั้งที่บริษัทดังกล่าวไม่ใช่ผู้ประกอบการส่งออกและมิได้มีการส่งสินค้าออกจริง แล้วนำไปใช้เป็นหลักฐานในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มต่อกรมสรรพากร โดยที่ไม่มีสิทธิได้รับ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 121,474,313.28 บาท

     คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้

  1. การกระทำของนายอิศรา  ซามัน นายสุรพงษ์  วงวาศ และนายสุเทพ  เลี่ยวสมบูรณ์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 154 มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) ประกอบมาตรา 91 และ
    มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
  2. 2. การกระทำของเอกชนซึ่งเป็นกรรมการบริษัท ผู้รับมอบอำนาจจากบริษัท และบริษัทผู้ขอคืนภาษี รวม 9 ราย มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิด และฐานความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง
  3. การกระทำของเจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรสังขละบุรีรายอื่น ไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่าได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป

  ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยัง
อัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) (2) และมาตรา 98 แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ให้แจ้งกรมศุลกากร ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหาย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสองต่อไป          

      จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

 

            ** การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด

       ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด 

Related