จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 560
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดอดีตเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่ำรวยผิดปกติ จำนวน 3 ราย
วันนี้ ( 28 พฤษภาคม 2568) นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับเรื่องกล่าวหาร้องเรียนอดีตเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่ามีการทุจริตเงินอุดหนุนวัด และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติให้ไต่สวนกรณีร่ำรวยผิดปกติด้วยนั้น บัดนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิดอดีตเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่าร่ำรวยผิดปกติ จำนวน 3 ราย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนักวิชาการศาสนาชำนาญการพิเศษ สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือการมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างตามกฎหมาย สืบเนื่องจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 24,973,519 บาท โดยทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ มีรายละเอียดดังนี้
(1) เงินฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขากระทรวงศึกษาธิการ
จำนวนเงินรวม 2,999,960 บาท
(2) เงินฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาหนองไผ่
จำนวนเงินรวม 165,900 บาท
(3) เงินฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขามหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายาจำนวนเงินรวม 16,534,438 บาท
(4) เงินฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเทสโก้โลตัส ศาลายาจำนวนเงินรวม 100,000 บาท
(5) เงินฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาเทสโก้โลตัส บางใหญ่จำนวนเงินรวม 1,775,000 บาท
(6) เงินฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาเทสโก้โลตัสศาลายาจำนวนเงินรวม 1,035,000 บาท
(7) เงินฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารออมสิน สาขาขนส่งสายใต้ จำนวนเงินรวม 100,000 บาท
(8) เงินฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า
จำนวนเงินรวม 500,000 บาท
(1) เงินดาวน์ ชำระให้แก่บริษัท ลิสซิ่ง ไอซีบีซี (ไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555
จำนวน 300,000 บาท
(2) เงินชำระหนี้ค่าเช่าซื้อปิดบัญชีก่อนกำหนด งวด 11 - 72 วันที่ 21 ตุลาคม 2556
ให้แก่ บริษัท ลิสซิ่ง ไอซีบีซี (ไทย) จำกัด จำนวน 343,221 บาท
ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง ซื้อเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 มูลค่า 400,000 บาท
บนโฉนดที่ดินที่ตำบลบางกระทึก อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม มูลค่า 420,000 บาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐานและความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ ของนายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี ตกเป็น ของแผ่นดิน และให้ส่งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออกภายในหกสิบวัน โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม ต่อไป
ทั้งนี้ หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้วแต่กรณี ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในระยะเวลาสิบปี ตามนัยมาตรา 125 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ด้วย
2) คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญ สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่ำรวยผิดปกติ ขอศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน รวมเป็นเงิน 12,818,335.21 บาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญ สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือการมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างตามกฎหมายสืบเนื่องจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เป็นเงินทั้งสิ้น 12,818,335.21 บาท โดยทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ มีรายละเอียดดังนี้
ประกอบด้วย
เป็นเงินรวมจำนวน 5,752,584 บาท
เป็นเงินรวมจำนวน 180,000 บาท
เป็นเงินรวมจำนวน 400,000 บาท และดอกเบี้ยเงินฝากจำนวน 2,999.38 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 402,999.38 บาท
เป็นเงินรวมจำนวน 100,000 บาท
เป็นเงินรวมจำนวน 100,000 บาท
เป็นเงินรวมจำนวน 3,790,000 บาท
800,000 บาท ณ วันที่ 30 มีนาคม 2558 ซึ่งเป็นวันที่มีการซื้อที่ดินดังกล่าว
2550 เป็นเงินรวมจำนวน 617,039 บาท
2550 เป็นเงินรวมจำนวน 369,638.58 บาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐานและความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ ของนางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร ตกเป็นของแผ่นดิน และให้ส่งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออกภายในหกสิบวัน โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม ต่อไป
ทั้งนี้ หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้วแต่กรณี ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในระยะเวลาสิบปี ตามนัยมาตรา 125 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ด้วย
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนางจุไรรัตน์ มีศิริ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานฝ่ายเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือการมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติหรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างตามกฎหมายสืบเนื่องจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สิน ตกเป็นของแผ่นดิน เป็นเงินทั้งสิ้น 10,863,181.98 บาท โดยทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ มีรายละเอียดดังนี้
มูลค่า 1,000,000 บาท
จำนวน 4 รายการ มูลค่ารวมจำนวน 240,000 บาท
จำนวน 2 รายการ มูลค่ารวมจำนวน 150,000 บาท
จำนวน 5 รายการ มูลค่ารวมจำนวน 470,000 บาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐานและความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติของนางจุไรรัตน์ มีศิริ ตกเป็นของแผ่นดินตามรายการทรัพย์สินดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง ต่อไป
ทั้งนี้ หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้วแต่กรณี ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในระยะเวลาสิบปี ตามนัยมาตรา 125 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ด้วย
จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
** การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด
ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด