จากไชต์: วารสารวิชาการ
จำนวนผู้เข้าชม: 505
แนวทางและมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตเชิงนโยบาย
ของรัฐบาลไทยในยุคปัจจุบัน[1]
Policy Corruption in Current Thai Governments:
Preventive and Suppressive Measures
ปัจจุบันได้เกิดปรากฏการณ์ทุจริตแบบใหม่ที่เรียกว่า “การทุจริตเชิงนโยบาย” (Policy Corruption) อันเป็นรูปแบบการทุจริตใหม่ล่าสุดที่มีขนาดความรุนแรงและสร้างความเสียหายและผลกระทบต่อประเทศอย่างใหญ่หลวงมาก มีความสลับซับซ้อนในกระบวนการกระทำทุจริต ยากแก่การรู้เท่าทันของสาธารณชนและมักไม่สามารถสาวไปหาบุคคลที่เป็นตัวการต้นคิดมาลงโทษได้ นั่นคือ ตัวการที่แท้จริงยังลอยนวลในสังคม โครงการ “การศึกษาวิจัยแนวทางและมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตเชิงนโยบายของรัฐบาลไทยในยุคปัจจุบัน” มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำข้อเสนอคำนิยามการทุจริตเชิงนโยบาย สำหรับใช้ในกรณีประเทศไทย วิเคราะห์ปัจจัยสาเหตุการทุจริตเชิงนโยบายในรัฐบาลไทยยุคปัจจุบัน ประมวลสภาพปัญหาและบริบทการทุจริตเชิงนโยบายในประเทศไทย แสดงให้เห็นกระบวนการและขั้นตอนการทุจริตเชิงนโยบาย และเสนอแนะแนวทางและมาตรการการแก้ปัญหาการทุจริตเชิงนโยบาย
สังเคราะห์ผลการศึกษา
1) คำนิยามของการทุจริตเชิงนโยบายสามารถสรุปได้ว่า “การทุจริตเชิงนโยบายเป็นการแสวงหาผลประโยชน์หรือการเอื้อประโยชน์หรือการขัดแย้งระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับประโยชน์ส่วนรวม อันเกิดจากการใช้อำนาจทางการบริหารของรัฐบาลหรือของรัฐมนตรีในการกำหนดนโยบาย เสนอโครงการหรือดำเนินโครงการหรือกิจการต่าง ๆ อันเป็นผลให้ตนเองหรือบุคคลอื่นได้ประโยชน์จากการดำเนินการตามโครงการหรือกิจการนั้น ๆ หรือทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ”
2) เครื่องมือสำหรับใช้ติดตามตรวจสอบการทุจริตเชิงนโยบาย
3) กระบวนการและขั้นตอนที่เปิดโอกาสหรือมีความเสี่ยงในการทุจริตเชิงนโยบาย มี 6 ขั้นตอน ดังนี้
3.1 ขั้นตอนการริเริ่มทางนโยบาย
3.2 ขั้นตอนการพัฒนานโยบาย
3.3 ขั้นตอนการตัดสินใจนโยบาย
3.4 ขั้นตอนการดำเนินการตามนโยบาย
3.5 ขั้นตอนการประเมินผลนโยบาย
3.6 ขั้นตอนการทบทวนและปรับปรุงนโยบาย
4) แนวทางป้องกันและต่อต้านการทุจริตเชิงนโยบาย โดยแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ
4.1 ระยะก่อนเกิดปัญหา ให้เน้นการเฝ้าระวังกลุ่มนโยบายที่มีความเสี่ยง การพัฒนาช่องทาง การเข้าถึงข้อมูลและการให้ความรู้ความเข้าใจแก่สังคม
4.2 ระยะเมื่อเกิดปัญหาแล้ว ควรเน้นที่การหยุดยั้งผู้กระทำผิด ควบคุมความเสียหายและลดผลกระทบจากการทุจริต
4.3 ระยะการปราบปราม ควรเน้นการจับกุมผู้กระทำผิด การสาวถึงผู้เป็นต้นตอ นำมาดำเนินคดีตามกฎหมายและการใช้มาตรการลงโทษโดยสังคมเข้ามาเสริม
4.4 ระยะการฟื้นฟูองค์กร ควรเน้นการมีมาตรการเพื่อฟื้นฟูหน่วยงานและองค์กรที่ได้รับผลกระทบ สรุปบทเรียนรู้และปรับปรุงวิถีการดำเนินงานเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องซ้ำรอย
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อ ป.ป.ช. มี 7 ประการ ได้แก่
1) สร้างเสริมเครือข่ายภาคประชาสังคมและพลังพลเมืองในการป้องกันและต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ โดยเฉพาะเครือข่ายเฝ้าระวังการทุจริตเชิงนโยบาย
2) สร้างมาตรฐานความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมในโครงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ เสนอให้หน่วยงานรัฐเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อสังคมสามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้โดยง่าย
3) พัฒนาและนำมาตรการทางภาษีอากรมาใช้ และริเริ่มรูปแบบการปราบปรามใหม่ ๆ เพื่อกำราบคนโกง
4) ให้ความรู้ความเข้าใจแก่สังคม เพื่อให้รู้เท่าทันการทุจริตเชิงนโยบายและการทุจริตรูปแบบต่าง ๆ
5) ศึกษาความเหมาะสมและสนับสนุนให้มีศาลคดีทุจริต
6) จัดให้มีกองทุนส่งเสริมพลังพลเมืองเพื่อสนับสนุนเครือข่ายภาคประชาสังคมในการผนึกกำลังขับเคลื่อนการป้องกันและต่อสู้การทุจริตอย่างบูรณาการและครบวงจร
7) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสำนักงาน ป.ป.ช. โดยเน้นการเสริมสร้างสมรรถนะและขีดความสามารถในการบริหารจัดการขององค์กรทั้งระบบ รวมทั้งการนำเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่มาใช้เป็นเครื่องมือ
[1] สรุปจากวารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปีที่ 10 ฉบับที่ 2 (1 กรกฎาคม 2560 : เขียนบทความโดย พลเดช ปิ่นประทีปและคณะ)
สามารถอ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ https://www.nacc.go.th/download/sakdinan_khu/y102/ton2_1.pdf