จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 401
บทความโดย : ศุทธิรัตน์ พัชรวุฒิพันธุ์
ผ่านพ้นช่วงเลือกตั้งมาพอสมควร หลายท่านคงเริ่มตั้งคำถามถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นหลังการปรับขั้วทางการเมือง ผู้เขียนจึงขอส่งต่อประเด็นโปร่งใสที่รัฐใหม่ไม่ควรมองข้าม เพราะนี่อาจเป็นการพลิกโฉมรัฐเปิดครั้งยิ่งใหญ่ หลังจากที่ประเทศไทยรอคอยความโปร่งใสที่แท้จริงกันมานาน
ภาครัฐแบบเปิด (Open Government) คือ การที่ภาครัฐมีคุณธรรม ความโปร่งใส และความรับผิดรับชอบในการบริหารงานราชการ เปิดเผยระเบียบกฎหมาย ข้อมูลพื้นฐาน ผลงาน และการดำเนินการให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและประชาชนรับรู้ รับทราบ รวมถึงสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการได้ การสร้างภาครัฐแบบเปิดจึงแยกออกจากระบบราชการเปิดเผยและการเปิดเผยข้อมูลตามหลักธรรมาภิบาลไม่ได้ เพราะ ข้อมูลเปิด (Open Data) ถือเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาภาครัฐโปร่งใส ถึงอย่างนั้นแล้วการพูดอย่างเต็มปากว่ารัฐไทยเป็นภาครัฐแบบเปิดแล้วอาจจะดูเกินจริงมากไป เพราะหากมองย้อนถึงการเปิดเผยข้อมูลในช่วงที่ผ่านมา แม้หลายหน่วยงานจะมีทิศทางที่ดีขึ้นแต่ยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าเพียงพอ
หลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยขับเคลื่อนการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐตามกฎหมายหลักที่เกี่ยวข้อง 2 ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 และพระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562 แต่นอกเหนือจากนี้อาจต้องขึ้นอยู่กับนโยบายหรือระเบียบประกอบที่มีผลบังคับใช้ของแต่ละหน่วยงานด้วย ความจริงจังหรืออาจมองในแง่ดีว่าเป็นความยืดหยุ่นในการบังคับใช้นี้ จึงมีผลให้ประเด็นการเปิดเผยข้อมูลเพื่อความโปร่งใสถูกขยับเคลื่อนที่เพียงทีละเล็กน้อยแบบขั้นบันได ภาครัฐทำได้ดีในการเปิดเผยข้อมูลเพียงบางชุด ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความไม่สะอาดของข้อมูลปะปนอยู่ หนำซ้ำชุดข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเชิงปริมาณ สถิติ หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานบริหารจัดการในศาสตร์ต่าง ๆ มากกว่าชุดข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน งบประมาณ หรือการบริหารจัดการของภาครัฐเพื่อส่งเสริมความโปร่งใสหรือการต่อต้านคอร์รัปชัน
หากลองสืบค้นชุดข้อมูลเปิดภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการระบบราชการตั้งแต่การวางแผน กำหนดงบประมาณ การดำเนินงาน ไปจนถึงขั้นการประเมินผล เราจะพบว่าข้อมูลถูกเผยแพร่อยู่ภายใต้การดูแลอย่างเฉพาะเจาะจง กระจายไปตามหน่วยงานหลักซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลและมีหน้าที่รับผิดชอบ การที่ประชาชนจะเข้าถึงข้อมูลจึงยุ่งยากมากขึ้นเพราะต้องควานหาว่าชุดข้อมูลที่ต้องการติดตามนั้นอยู่ตรงไหน หรือกว่าจะเห็นภาพรวมข้อมูลบางอย่างของทั้งประเทศคงต้องใช้แรงมหาศาลในการรวบรวมข้อมูล
หลักการในการเปิดเผยข้อมูลที่ยังมีความซับซ้อนในเชิงปฏิบัตินี้ สอดคล้องกับผลการสำรวจดัชนีการประเมินวัดสถานะการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐทั่วโลก หรือ Global Open Data Index โดยมูลนิธิ Open Knowledge International ที่สะท้อนว่าประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง เพราะข้อมูลภาครัฐที่ถูกเปิดมานั้นเป็นไปตามมาตรฐานเพียงบางส่วนเท่านั้น สอดคล้องกับดัชนีดังกล่าวที่ประเมินมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐผ่านชุดข้อมูลต่าง ๆ และพบว่าในปี 2558 ประเทศไทยจัดอยู่อันดับที่ 51 จาก 94 ประเทศทั่วโลก คิดเป็นคะแนนเพียง 34% ซึ่งถือว่าไม่สูงนักเมื่อเทียบกับประเทศไต้หวันที่ได้อันดับ 1 ด้วยคะแนน 90% ใกล้เคียงกับการสำรวจดัชนีหลักนิติธรรม (WJP Rule of Law Index) ผ่านการประเมินประสบการณ์และการรับรู้ของสาธารณชนโดย The World Justice Project (WJP) ในกรอบการจัดทำรัฐโปร่งใส (Open Government) ที่สะท้อนการเผยแพร่กฎหมายและข้อมูลของภาครัฐ รวมถึงสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลและความสามารถในการมีส่วนร่วมของประชาชนว่า ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับการเปิดข้อมูลอยู่ลำดับที่ 77 จาก 140 ประเทศทั่วโลกในปี 2565 ซึ่งตรงกับปี 2564 แต่แย่ลงกว่าปี 2563 ที่ถูกจัดลำดับอยู่ที่ 61 จาก 128 ประเทศ
ในมุมมองของผู้เขียนจึงเห็นว่ามีช่องว่างอยู่หลายประการในด้านการเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐ เพราะการควานหาข้อมูล(เปิด)ที่ได้มาตรฐานนั้นซับซ้อนราวกับการร่วมโปรแกรมล่าท้าผี ที่ต้องเปรียบเปรยเช่นนี้ไม่ได้มีเจตนาโจมตีแต่อย่างใด แต่อยากชวนชี้ให้เห็นภาพว่าแท้จริงแล้วเราต่างทราบดีว่าข้อมูลภาครัฐนั้นมีอยู่ แต่กลับเป็นการยากที่จะตามหาและใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผู้เขียนจึงขอยกเรื่องอุปสรรคของการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐมาแลกเปลี่ยนในมุมมองของเรื่องสยอง และขอแรงผู้อ่านทุกท่านร่วมตัดสินใจและให้ข้อเสนอแนะว่าข้อมูลเปิดภาครัฐไทยมันโปร่งใส หรือยังเร้นลับอยู่กันแน่…
สยองที่ 1 หลักการหลอน ตามที่ผู้เขียนได้แจกแจงไปในตอนต้นเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย พระราชบัญญัติ ประกาศหน่วยงาน ข้อตกลงต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งนโยบายของหน่วยงานเพื่อส่งเสริมความโปร่งใส อาจสะท้อนให้เห็นว่าแท้จริงแล้วรัฐไทยกำลังขับเคลื่อนด้วยหลักเกณฑ์อันเป็นลายลักษณ์อักษรมากกว่าความเข้าใจและการเล็งเห็นความสำคัญในเชิงปฏิบัติ ประการแรกคือการยึดมั่นในสิ่งที่ระเบียบกำหนดอย่างเคร่งครัด จนทำให้สิ่งที่อยู่นอกเหนือจากระเบียบในหนังสือหรือตามที่กฎหมายสั่งให้ทำมีโอกาสถูกลดทอนความสำคัญไป ประการที่สองคือการมีระเบียบบังคับจำนวนมาก หลายครั้งเราพบว่าหลักการที่แต่ละหน่วยงานดำเนินตามมีความขัดแย้งกันเอง เช่น ข้อมูลบางชุดที่น่าจะควรเปิดเผยได้ตาม พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารฯ แต่หน่วยงานกลับใช้ข้อกำหนดตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มาหักล้างและอ้างถึงเพื่อปิดกั้นการเปิดเผยดังกล่าว ซึ่งอาจขัดตามหลักการของมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลสากล ที่ภาครัฐควรยึดหลักการ Open by Default เปิดเผยเป็นหลักและมีหน้าที่ชี้แจงเหตุผลในส่วนที่ต้องทำการยกเว้น หลักการที่ผูกติดอย่างไม่ชัดเจนกับรัฐไทยดังตัวอย่างจึงอาจเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่หลอกหลอนผ่านตัวอักษร
สยองที่ 2 พิธีศักดิ์สิทธิ์ กว่าจะมาเป็นข้อมูลเปิดที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ หน่วยงานรัฐเองก็ต้องผ่านกระบวนงาน ระเบียบวิธีอย่างเป็นขั้นตอน เช่น ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ต้องการเผยแพร่ข้อมูลอาจต้องผ่านการอนุมัติตามลำดับขั้นหลายครั้ง (หรือเราอาจคุ้นคำว่า รอนายเซ็น) ในอีกมุมหนึ่งอาจเป็นข้อดีที่หน่วยงานมีการทำงานอย่างเป็นแบบแผนและมีการตรวจสอบข้อมูลภายในกันหลายครั้งก่อนเผยแพร่ แต่ในอีกมุมการมีพิธีมากมายอาจส่งผลให้การดำเนินงานไม่คืบหน้าและใช้เวลานานเกินความจำเป็น กว่าข้อมูลจะถึงตาประชาชนก็คงกลายเป็นข้อมูลที่เก่าเกินจะติดตามกันไปแล้ว การมีโครงสร้างข้อมูล ระยะเวลาดำเนินงานที่ชัดเจน และเครื่องมือเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ภาครัฐต้องนำมาปรับใช้ในการเปิดเผยข้อมูลเพื่อลดภาพหลอนของพิธีกรรมในระบบราชการ
สยองที่ 3 ล่าท้าผี แม้จะฝ่าด่านพิสูจน์มากมายจนค้นพบข้อมูลเปิดภาครัฐ ก็ไม่อาจวางใจได้ว่าข้อมูลที่ได้เข้าถึงนั้นมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน? เหมือนนักล่าที่ต้องรอลุ้นว่าผีจะปรากฎตัวในลักษณะใด เพราะข้อมูลที่ค้นพบอาจมีรูปแบบ (Format) ที่ไม่ชัดเจนและไม่สะอาด บางครั้งถูกเปิดเผยในรูปแบบเอกสารหรือไฟล์ภาพ เขียนด้วยลายมือ ลายดินสอ การจะนำมาใช้งานต่อทำได้ยากเพราะไม่สามารถวิเคราะห์ต่อได้ด้วยโปรแกรมซอฟต์แวร์พื้นฐาน การเปิดให้โปร่งจึงไม่ใช่แค่การวัดว่าภาครัฐมีการเปิดเผยข้อมูลแล้วจึงโปร่งใส แต่หมายถึงการเปิดข้อมูลอย่างมีคุณภาพ มีโครงสร้างชัดเจน มีบัญชีข้อมูล และอยู่ในรูปแบบดิจิทัลที่คอมพิวเตอร์สามารถอ่านได้ รวมถึงอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานหรือภาคประชาชนเข้าถึงข้อมูลเพื่อติดตาม ตรวจสอบ และนำไปใช้ประโยชน์ได้โดยสาธารณะ ไม่เสียค่าใช้จ่าย เทียบเท่ามาตรฐานสากลด้วย
สยองสุดท้าย คือ รูปบูชา เพราะหากว่าการทำให้สิ่งที่มองไม่เห็นในเชิงลี้ลับมีตัวตนและความหมายด้วยการใช้เครื่องมือหรือสัญลักษณ์ฉันใด การวัดประสิทธิภาพการดำเนินงานย่อมต้องอ้างอิงผลลัพธ์จากการประเมินฉันนั้น กล่าวคือ การจะทำให้เห็นภาพว่าภาครัฐขับเคลื่อนการเปิดเผยข้อมูลเป็นอย่างไร ก็ต้องใช้หลักการประเมินเข้ามาอ้างอิง ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้เคยติดต่อหน่วยงานราชการหลายแห่งเพื่อขอข้อมูล มักได้รับคำตอบที่คล้ายกันจากทุกภาคส่วนที่กล่าวถึงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ของสำนักงาน ป.ป.ช. และเน้นการเปิดเผยข้อมูลหน่วยงานตามกำหนดตัวชี้วัดการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ (OIT) ว่าครบถ้วนและเพียงพอแล้ว หนำซ้ำยังใช้คะแนนผลการประเมินประจำปีเป็นผลงานความสำเร็จในการเปิดเผยข้อมูลด้วย แม้ว่าหลักเกณฑ์ในการประเมินจะไม่ได้เชื่อมโยงกับการเปิดเผยข้อมูลตามมาตรฐานสากลหรือไม่ได้กล่าวถึงการวัดผลในเชิงคุณภาพเท่าที่ควรก็ตาม จึงเป็นข้อสังเกตที่ภาครัฐควรเฝ้าระวังอีกประการหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้การเปิดเผยข้อมูลนั้นติดกับดักจากการมีรูปบูชาจนมองข้ามประสิทธิภาพที่แท้จริงไป
จากข้อสังเกตที่ยกมาในบทความนี้ ผู้เขียนจึงอยากชวนทุกท่านแลกเปลี่ยนกันดูว่าการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐสำหรับทุกท่านเป็นอย่างไร? เป็นความโปร่งใส หรือยังมีจุดที่คิดว่าเร้นลับ? และในฐานะที่ท่านคือประชาชนที่เป็นเจ้าของข้อมูล ท่านอยากเห็นทิศทางในการขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?
ขอส่งต่อความหวังในการพลิกโฉมรัฐเปิดฉบับใหม่ไปพร้อมกับทุกท่านนะคะ