Contrast
Font
c459799272dd2c03c0bd36c43562ddd2.jpg

เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼️ ประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2568

จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 122

04/03/2568

📍 เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼

การยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นขั้นตอนสำคัญในการเสริมสร้างความโปร่งใส และป้องกันการทุจริต วันนี้เรามาดูกันว่าผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีสามารถดำเนินการได้ผ่านช่องทางไหนบ้าง

ผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินสามารถยื่นบัญชีได้ช่องทางไหนบ้าง

การยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน สามารถยื่นได้ 3 ช่องทาง คือ

(1) ยื่นด้วยตนเอง หรือมอบหมายให้บุคคลอื่นยื่นแทน (ไม่ต้องมีหนังสือมอบอำนาจ) ได้ที่

ㆍสำนักงาน ป.ป.ช. อาคาร 4 ชั้น 1 ถนนนนทบุรี ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี

ㆍสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด ทุกจังหวัดทั่วประเทศ

(2) ยื่นทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ

(เพื่อเป็นหลักฐานว่าสำนักงาน ป.ป.ช. ได้รับเอกสาร)

(3) ยื่นด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (Online Declaration System: ODS)

https://asset.nacc.go.th/ods-app แนะนำวิธีนี้เพื่อความสะดวกรวดเร็ว

การยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก เลือกช่องทางที่สะดวกและดำเนินการให้ถูกต้อง เพื่อร่วมสร้างสังคมที่โปร่งใสและเป็นธรรมกันนะครับ
----------

📍 เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼

การเปิดโปงการทุจริตไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพยานที่ออกมาให้ข้อมูลมักเผชิญกับความเสี่ยง ทั้งการถูกข่มขู่ คุกคาม หรือแม้แต่การถูกทำร้าย เพื่อปิดปากไม่ให้ความจริงปรากฏ ดังนั้น การคุ้มครองและช่วยเหลือพยานจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยให้การปราบปรามทุจริตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสำนักงาน ป.ป.ช. จะมีวิธีในการคุ้มครองช่วยเหลือพยานอย่างไร ไปติดตามกันได้เลยครับ

วิธีคุ้มครองช่วยเหลือพยานของสำนักงาน ป.ป.ช. เป็นอย่างไร

การคุ้มครองพยานเป็นกลไกสำคัญที่จะส่งผลให้การปราบปรามการทุจริตดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะด้วยคดีทุจริตมีลักษณะเป็นอาชญากรรมซ่อนเร้น รู้เห็นกันเฉพาะผู้ให้และผู้รับเป็นการยากที่จะมีพยานนำเรื่องดังกล่าวออกมาเปิดเผย เพราะอาจทำให้ตนเองได้รับความเดือดร้อนเสียหายไปด้วย โดยเฉพาะพยานที่มีความสำคัญในคดีมากเท่าไร ก็มีโอกาสถูกข่มขู่คู่คามหรือประทุษร้ายมากยิ่งขึ้น เนื่องจากผู้กระทำผิดต้องการขจัดผู้รู้เห็นที่จะพิสูจน์ความผิดของตน หรือทำให้พยานเกิดความเกรงกลัวจนกลับคำให้การ

วิธีการคุ้มครองช่วยเหลือพยานของสำนักงาน ป.ป.ช. แบ่งออกเป็น "มาตรการทั่วไป" และ "มาตรการพิเศษ"

(1) มาตรการทั่วไป

- จัดเจ้าหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัย

- จัดให้มีการปกปิดข้อมูลที่สามารถระบุตัวพยานได้

- แจ้งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ หรือหน่วยงานอื่นดำเนินการให้ความคุ้มครองความปลอดภัย

- จัดให้อยู่ในสถานที่ปลอดภัย

- จัดให้มีการสอบถามความเป็นอยู่หรือตรวจสถานที่ ที่อยู่หรือพักอาศัยอย่างสม่ำเสมอ

- ดำเนินการอื่นใดตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ

(2) มาตรการพิเศษ

- จัดเจ้าหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัย

- ย้ายที่อยู่ เปลี่ยนชื่อ-สกุล ทะเบียนบ้าน

- จ่ายค่าเลี้ยงชีพ จัดหาอาชีพ การศึกษา

พยานถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการเปิดโปงและขจัดการทุจริตให้หมดไปจากสังคม การมีมาตรการคุ้มครองที่ดีจะช่วยให้พยานมั่นใจและกล้าที่จะออกมาให้ข้อมูล สำนักงาน ป.ป.ช. จึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่โปร่งใสและเป็นธรรม

----------

📍 เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼

สิทธิในการได้รับการคุ้มครองพยาน เป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยให้ผู้แจ้งเบาะแสและพยานในคดีทุจริตสามารถให้ข้อมูลได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องหวั่นเกรงต่อภัยคุกคาม แต่ใครบ้างที่มีสิทธิได้รับการคุ้มครอง และต้องทำอย่างไรถึงจะได้รับความช่วยเหลือ? มาดูกันเลย

"ใครบ้างที่มีสิทธิขอรับการคุ้มครองพยานและมีวิธีการอย่างไร"

ผู้ที่มีสิทธิได้รับการคุ้มครองพยาน มีดังนี้

  1. ผู้ร้องขอ ได้แก่ (1) ผู้กล่าวหา ผู้เสียหาย ผู้ทำคำร้อง ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ และผู้ให้ถ้อยคำ (2) ผู้แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. (3) คู่สมรส บุพการี และผู้สืบสันดานของผู้ร้องขอ และ (4) บุคคลอื่นที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ร้องขอ
  2. บุคคลที่สำนักงาน ป.ป.ช. เห็นควรให้ความคุ้มครองช่วยเหลือพยานโดยไม่ต้องร้องขอ แต่ต้องให้ความยินยอมไว้เป็นหนังสือด้วย
  3. บุคคลที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นควรให้ความคุ้มครองช่วยเหลือในฐานะพยาน เนื่องจากมีเหตุอันเชื่อได้ว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัย

วิธีการขอรับการคุ้มครองพยาน

ผู้มีสิทธิได้รับการคุ้มครองพยานเดินทางมาด้วยตนเองส่งไปรษณีย์ โทรสาร อีเมล หรือวิธีการสื่อสารใดก็ได้ หรือมอบอำนาจให้บุคคลอื่นยื่นคำร้องแทน โดยต้องระบุ ชื่อ-สกุล และที่อยู่ของผู้ร้องขอ ตลอดจนพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าอาจไม่ได้รับความปลอดภัย และต้องลงลายมือชื่อ หรือระบุชื่อของผู้ร้องขอ

สถานที่ติดต่อขอรับการคุ้มครองพยาน

- สำนักงาน ป.ป.ช. เลขที่ 361 ถนนนนทบุรี ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี 11000 โทร. 0 2528 4800

- สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 1-9

- สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด

- สถานีตำรวจทุกแห่ง

- สำนักงานคุ้มครองพยาน กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ อาคารกระทรวงยุติธรรม เลขที่ 404 หมู่ที่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทร. 0 2141 2944

- ศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม

- สำนักงานยุติธรรมจังหวัด

- ยื่นคำขอคุ้มครองออนไลน์ https://mind.moj.go.th

อย่าปล่อยให้ความกลัวเป็นอุปสรรคในการเปิดโปงความจริง

หากคุณหรือคนใกล้ตัวตกอยู่ในความเสี่ยงจากการเป็นพยานในคดีทุจริต อย่าลังเลที่จะขอรับการคุ้มครองตามสิทธิของคุณ เพราะความกล้าหาญของคุณคือก้าวสำคัญในการสร้างสังคมที่โปร่งใสและเป็นธรรม 💙✨

-----------

📍 เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼

เรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนเป็นประเด็นสำคัญที่เจ้าพนักงานของรัฐต้องให้ความใส่ใจ เพราะการรับทรัพย์สินหรือผลประโยชน์โดยมิชอบ อาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับประโยชน์ส่วนรวม ดังนั้น กฎหมายจึงกำหนดแนวทางไว้ชัดเจนว่าเจ้าพนักงานของรัฐ รวมถึงผู้ที่พ้นจากตำแหน่งยังไม่ถึง 2 ปี สามารถรับทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ได้ในกรณีใดบ้าง โดยไม่ขัดต่อหลักความโปร่งใสและจริยธรรมไปติดตามกันได้เลยครับ

เจ้าพนักงานของรัฐรวมถึงผู้ที่พ้นจากการเป็นเจ้าพนักงานของรัฐยังไม่ถึง 2 ปี สามารถรับทรัพย์สินใดได้บ้าง โดยที่ไม่ขัดต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม

(1) ทรัพย์สินที่มีกฎหมาย กฎข้อบังคับให้รับได้ เช่น เงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เบี้ยเลี้ยงไปราชการ เงินปันผลสหกรณ์

(2) รับจากบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือญาติที่ให้ตามประเพณี หรือธรรมจรรยา ตามฐานานุรูป

(3) รับจากบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ญาติที่ให้ตามธรรมจรรยา เช่น ในโอกาสเทศกาลหรือวันสำคัญ ยินดี ขอบคุณ เสียใจ ตามมารยาทที่ปฏิบัติกันในสังคม ตามแต่ละบุคคลแต่ละโอกาสไม่เกิน 3,000 บาท

(4) ทรัพย์สินที่เป็นการให้ในลักษณะให้กับบุคคลทั่วไป เช่น รางวัลและการจับฉลาก รางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ส่วนลดซื้อ รางวัลการแข่งขัน

เพื่อเสริมสร้างธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการทำงานของภาครัฐ เจ้าพนักงานของรัฐจึงควรตระหนักถึงข้อกำหนดเหล่านี้อย่างเคร่งครัด การปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง ไม่เพียงช่วยป้องกันปัญหาทุจริต แต่ยังเป็นการรักษาความน่าเชื่อถือขององค์กรและสร้างความไว้วางใจให้กับประชาชนอีกด้วย

----------

📍 เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼

รู้หรือไม่? 🤔 หากนิติบุคคลปล่อยให้บุคคลของตนให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อผลประโยชน์ขององค์กร อาจเข้าข่ายมีความผิดทางกฎหมาย!

หากนิติบุคคลใดปล่อยให้คนของนิติบุคคลให้สินบนกับเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อให้เกิดประโยชน์กับตัวของนิติบุคคลเอง นิติบุคคลนั้นจะมีความผิดหรือไม่

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 176

บุคคลนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นิติบุคคลนั้น ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 1 เท่า แต่ไม่เกิน 2 เท่าของค่าเสียหายที่เกิดขึ้นหรือประโยชน์ที่ได้รับ ถ้าไม่มีมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสม

บุคคล หมายความรวมถึงผู้แทนของนิติบุคคล ลูกจ้าง ตัวแทน บริษัทในเครือหรือบุคคลใดซึ่งกระทำไปไนนามหรือเพื่อประโยชน์ของนิติบุคคลนั้น ไม่ว่าจะมีหน้าที่และอำนาจในการนั้นหรือไม่ก็ตาม

อย่าปล่อยให้ความเสี่ยงกลายเป็นบทลงโทษที่ร้ายแรง ⚖️ ปฏิบัติตามกฎหมายและมีมาตรการควบคุมที่เหมาะสม เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น!

----------

📍 เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼

หากเจ้าพนักงานของรัฐได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้กระทำการทุจริต ควรทำอย่างไรเพื่อปกป้องตนเองจากความผิด? อย่าปล่อยให้สถานการณ์นี้ทำให้คุณต้องตกอยู่ในความเสี่ยง มาดูวิธีป้องกันตนเองตามกฎหมายกัน

"ถ้าเจ้าพนักงานของรัฐถูกผู้บังคับบัญชาสั่งให้กระทำการทุจริตต่อหน้าที่จะต้องทำอย่างไร เพื่อป้องกันตัวเองจากความผิดนั้น"

เจ้าพนักงานของรัฐต้องรีบดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้

(1) ทำหนังสือโต้แย้งคำสั่ง หรือให้ผู้บังคับบัญชาทบทวนคำสั่ง หรือให้ยืนยันคำสั่ง

(2) แจ้งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบถึงเบาะแสข้อมูล หรือข้อเท็จจริงภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้กระทำการนั้น

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 134 ในกรณีเจ้าพนักงานของรัฐผู้ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเพราะถูกผู้บังคับบัญชาสั่งการให้ทำ ถ้าได้ทำหนังสือโต้แย้ง หรือให้ผู้บังคับบัญชาทบทวนคำสั่งหรือให้ยืนยันยันคำสั่งแล้ว หรือได้แจ้งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบถึงเบาะแส ข้อมูล หรือข้อเท็จจริงภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้กระทำการนั้น ให้เจ้าพนักงานของรัฐผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

อย่าลืม! หากต้องเผชิญกับคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การนิ่งเฉยอาจทำให้คุณต้องรับผิดไปด้วย ทางที่ดีควรดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อปกป้องทั้งตัวคุณเองและรักษาความถูกต้องในระบบราชการ! 💪⚖️

----------

📍 เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼

วันนี้พบกับ "ข้อควรรู้ เมื่อตกอยู่ในสถานะ 'ผู้ถูกกล่าวหา' ในคดีที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช." ตอนที่ 1 หากคุณเคยสงสัยว่า "ผู้ถูกกล่าวหา" คือใคร และมีสถานะอย่างไรตามกฎหมาย วันนี้เรามีคำตอบ!

ผู้ถูกกล่าวหาหมายถึงผู้ใด

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 4 ได้กำหนดความหมายของ "ผู้ถูกกล่าวหา" ไว้ดังนี้

"ผู้ถูกกล่าวหา" หมายความว่า ผู้ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ดำเนินการไต่สวนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ไม่ว่าจะในฐานะเป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดดังกล่าว

ทั้งนี้ บุคคลใดจะตกอยู่ในสถานะเป็น "ผู้ถูกกล่าวหา" จะต้องมีพฤติการณ์แห่งการกระทำตามข้อกล่าวหาชัดเจนในระดับหนึ่งว่า มีการกระทำความผิดและมีมูลเพียงพอที่

คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะมีมติให้ดำเนินการไต่สวน

แม้กฎหมายจะได้อธิบายความหมายของถ้อยคำดังกล่าวไว้ แต่บุคคลทั่วไปอาจเกิดความสงสัย หรือไม่เข้าใจความหมายของบทนิยามดังกล่าว เนื่องจากไม่ทราบว่า มติให้ดำเนินการไต่สวนเริ่มต้นเมื่อใด

ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงสถานะของบุคคลที่จะตกเป็น "ผู้ถูกกล่าวหา" ในคดีที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการใด ในตอนถัดไปเราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับกระบวนการดำเนินคดีของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้คุณเข้าใจรายละเอียดอย่างชัดเจน โปรดติดตามตอนต่อไป!

----------

📍 เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼

หลังจากที่ได้ทราบไปแล้วเกี่ยวกับ "ข้อควรรู้ เมื่อตกอยู่ในสถานะ 'ผู้ถูกกล่าวหา' ในคดีที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช." ในเรื่องความหมายของ "ผู้ถูกกล่าวหา" ในวันนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงสถานะของบุคคลที่จะตกเป็น "ผู้ถูกกล่าวหา" ในคดีที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าเริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการใด เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับกระบวนการดำเนินคดีของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปติดตามกันได้เลยครับ

กระบวนการดำเนินคดีของคณะกรรมการ ป.ป.ช.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ได้กำหนดเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการดำเนินการไต่สวนและมีมติชี้มูลความผิด หรือไต่สวนและวินิจฉัยเกี่ยวกับเจ้าพนักงานของรัฐที่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายโดยสามารถแยกเป็นกรณีได้ดังต่อไปนี้

(1) ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ กรณีมีพฤติการณ์

- ร่ำรวยผิดปกติ

- ทุจริตต่อหน้าที่

- จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย

- ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

เพื่อให้เข้าใจถึงรายละเอียดและแนวทางการดำเนินคดีของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ อย่าพลาดติดตามในตอนต่อไป!

----------

📍 เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต‼

ต่อเนื่องจากกระบวนการดำเนินคดีของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เราพูดถึงก่อนหน้านี้ วันนี้เรามาดูอีกกลุ่มหนึ่งที่อาจตกเป็น “ผู้ถูกกล่าวหา” นั่นคือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งหากมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือฝ่าฝืนกฎหมาย ก็อาจถูกไต่สวนและมีมติชี้มูลความผิดได้ มาดูกันเลยครับว่ากรณีไหนเข้าข่ายบ้าง!

กระบวนการดำเนินคดีของคณะกรรมการ ป.ป.ช.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ได้กำหนดเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการดำเนินการไต่สวนและมีมติชี้มูลความผิด หรือไต่สวนและวินิจฉัยเกี่ยวกับเจ้าพนักงานของรัฐที่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายโดยสามารถแยกเป็นกรณีได้ดังต่อไปนี้

(2) เจ้าหน้าที่ของรัฐ กรณีมีพฤติการณ์

- กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่

- ร่ำรวยผิดปกติ

- กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ

- กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม

🔎 เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าข่ายเหล่านี้ อาจถูกไต่สวนและมีมติชี้มูลความผิดโดย ป.ป.ช. แล้วกลุ่มต่อไปที่อาจตกเป็น “ผู้ถูกกล่าวหา” จะเป็นใคร? และพฤติการณ์แบบไหนที่เข้าข่าย? 📌 ติดตามได้ในตอนต่อไป! ✅

Related