Contrast
Font
95dd3b36d67fe16be9ab22f5bea87ca0.jpg

งานวิจัยกับการสร้างเครือข่ายต่อต้านสินบนระหว่างประเทศ

จากไชต์: สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ
จำนวนผู้เข้าชม: 32

18/03/2568

 

          การทุจริตและการให้สินบนเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนาของประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคโลกาภิวัตน์ที่การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศมีความซับซ้อนมากขึ้น การสร้างเครือข่ายต่อต้านสินบนระหว่างประเทศจึงมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้ งานวิจัยเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำความเข้าใจแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านสินบน ทั้งในแง่ของการกำหนดนโยบาย การบังคับใช้กฎหมาย และการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ

ในบทความนี้ผู้เขียนต้องการอธิบายถึงความหมายของสินบนระหว่างประเทศ สินบนฯ เกิดขึ้น
ได้อย่างไร สถานการณ์ปัญหาสินบนระหว่างประเทศในประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง ในต่างประเทศเผชิญปัญหาการติดสินบนอย่างประเทศเราไหม และประเทศเหล่านั้นมีการป้องกันการติดสินบนที่เกิดขึ้น
ในกระบวนการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติอย่างไร สุดท้ายแล้วประเทศไทยสามารถประยุกต์แนวทางของประเทศต่างๆ มาใช้อย่างไรได้บ้าง

สินบนระหว่างประเทศคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร

สินบนระหว่างประเทศ คือ การให้หรือเรียกรับสินบนที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมข้ามพรมแดนหรือการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับการประกอบธุรกิจหรือการลงทุนในต่างประเทศ
ในขั้นตอนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการอนุมัติ อนุญาต การเข้าร่วมประมูลงานภาครัฐ การจัดซื้อจัดจ้าง เป็นต้น
ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่ทุกวันนี้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมีการเชื่อมโยงกันในหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในมิติด้านเศรษฐกิจที่มีการลงทุนระหว่างประเทศเกิดขึ้น การลงทุนในต่างประเทศจะมีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางกฎหมาย นโยบาย และกฎระเบียบของแต่ละประเทศที่บางครั้งอาจมีความซับซ้อน
ใช้เวลานาน และบางประเทศอาจยังไม่มีกระบวนการของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องที่เชื่อมโยงเป็นระบบ
ทำให้กระบวนต่าง ๆ มีความยุ่งยากซับซ้อน หรือการมุ่งผลแสวงหาผลกำไรของบริษัท ส่งผลให้บริษัทหรือ
นักลงทุนบางรายมองว่าการติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐอาจเป็นการลดอุปสรรคของความล่าช้าและความได้สิทธิพิเศษเหนือผู้ค้ารายอื่น หรือขณะเดียวกันก็อาจเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเรียกรับสินบนได้ และเมื่อผู้ให้-ผู้รับเกิดผลประโยชน์ที่ลงตัวจึงมีการติดสินบนเกิดขึ้น

 

สถานการณ์ปัญหาสินบนระหว่างประเทศในประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง

สิ่งที่จะใช้ในการอธิบายได้อย่างเป็นกลาง ไม่มีอคติ และแสดงให้เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์
การติดสินบนเในประเทศไทยนั้นเป็นอย่างไร ก็คือ ดัชนีชี้วัดต่าง ๆ ที่จัดทำโดยองค์กรระหว่างประเทศ
ปัจจุบันนี้ได้มีการศึกษาและจัดทำตัวชี้วัดเกี่ยวกับการติดสินบนในประเทศไทยหลายดัชนีด้วยกัน โดยจะขอหยิบยกมา คือ “TRACE Bribery Risk Matrix” หรือ “TRACE Matrix” เป็นดัชนีชี้วัดความเสี่ยงจาก
การติดสินบนภาคธุรกิจใน 194 ประเทศทั่วโลก โดย TRACE Matrix จะรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาจากองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ เช่น องค์กรสหประชาชาติ (United Nations) ธนาคารโลก (World Bank) สถาบันวิจัย V-Dem ซึ่งจะมีการเผยแพร่อย่างต่อเนื่องทุกปี TRACE Matrix จะมีการวัดเงื่อนไขต่างๆ ที่จะนำไปสู่ความเสี่ยงในการการติดสินบนใน 4 มิติ คือ การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับภาคเอกชน กฎหมายต่อต้านการติดสินบนและการบังคับใช้กฎหมาย ความโปร่งใสของรัฐบาล และความสามารถของภาคประชาสังคมในการตรวจสอบและเปิดโปงการทุจริต

 

          ล่าสุดในปี 2567 ที่ผ่านมา TRACE Matrix ได้เผยแพร่รายงานว่าในภาพรวมประเทศไทยมีความเสี่ยง
ติดสินบนในระดับ “ปานกลาง” อยู่ที่ 47 คะแนน (38 – 55 คะแนน หมายถึงความเสี่ยงระดับปานกลาง)
จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ซึ่งหากคะแนนยิ่งสูงเท่าไหร่ก็หมายถึงว่ายิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นเท่านั้น แต่เมื่อเราพิจารณาเป็นรายมิติหรือรายด้าน เราจะมีมิติที่เสี่ยงต่อการติดสินบนอยู่ในระดับความเสี่ยงสูงมาก คือ กฎหมายต่อต้านการติดสินบนและการบังคับใช้กฎหมาย (59 คะแนน) และความโปร่งใสของรัฐบาลและราชการ
(61 คะแนน) ความเสี่ยงปานกลางจะเป็นเรื่องของความสามารถของภาคประชาชนในการตรวจสอบและ
เปิดโปงการทุจริต (52 คะแนน) และระดับความเสี่ยงต่ำ คือ การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับภาคเอกชน (33 คะแนน) หากใครสนใจที่จะศึกษาข้อมูลของ TRACE Matrix สามารถเข้าไปได้ที่ www.traceinternational.org

 

ในต่างประเทศเผชิญปัญหาการติดสินบนอย่างประเทศไทยไหม แล้วประเทศเหล่านั้นมีการป้องกันการติดสินบนที่เกิดขึ้นในกระบวนการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติอย่างไร

ทุกประเทศทั่วโลกเผชิญกับปัญหาการติดสินบนและปัญหาการทุจริต เพราะจากสถิติหรือดัชนีต่าง ๆ ไม่มีประเทศใดที่มี TRACE Matrix 0 คะแนนที่ไม่มีความเสี่ยงการติดสินบนเลย หรือ
ค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต หรือ CPI ที่มีค่า 100 คะแนนเต็มที่โปร่งใส 100% แต่ก็คือจะมีมากมีน้อยแตกต่างกันตามบริบทของประเทศและปัจจัยเงื่อนไขต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย
การนำระบบหรือเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ในกระบวนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐเพื่อลดความเสี่ยง
ความทุจริตและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการ ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา สำนักวิจัยและบริการวิชาการฯ สำนักงาน ป.ป.ช. ได้มีการศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในการต่อต้านสินบนระหว่างประเทศเป็นผล
มาจากการลงทุนข้ามชาติในโครงการวิจัย เรื่อง “การจ่ายสินบนให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐของบรรษัทข้ามชาติและ
นักลงทุนที่ประกอบธุรกิจและลงทุนในประเทศไทย” ทั้งสิงคโปร์ ฮ่องกง และเกาหลีใต้
ประเทศเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เคยเผชิญกับปัญหาการทุจริตและการติดสินบนในจุดที่ประเทศไทยเผชิญมาก่อน การต่อต้านการติดสินบนของฮ่องกง ของคณะกรรมการอิสระต่อต้านการทุจริต หรือ ICAC มีการดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร

          เมื่อย้อนเวลาไป 30 กว่าปีที่แล้ว ฮ่องกงก็เผชิญกับการติดสินบนในรูปแบบที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในประเทศไทยคือการเรียกรับและการเสนอให้สินบน แต่ฮ่องกงได้ดำเนินการทั้งการปราบปรามและลงโทษผู้กระทำการทุจริตอย่างจริงจังเด็ดขาด การป้องกันการทุจริต และการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม

          สำหรับการแก้ไขปัญหาการติดสินบนในกระบวนการลงทุน ICAC ได้กำหนดปัญหาความเสี่ยง
การติดสินบนเป็น 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ภาคธุรกิจเอกชนเข้ามาลงทุนก่อตั้งธุรกิจและขั้นตอนที่ภาคธุรกิจเอกชนได้จัดตั้งและประกอบธุรกิจแล้ว โดย ICAC ทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงเพื่อให้ภาคธุรกิจเอกชนมั่นใจว่าหน่วยงานภาครัฐจะทำงานตามกฎหมายและกระบวนการที่กำหนดไว้อย่างถูกต้องและตรงไปตรงมา เช่น การให้คำแนะนำกับ Trade and Industry Department (TID) ในการกำหนดข้อตกลงและเงื่อนไขทางการค้าด้านการป้องกันการทุจริตในการประกอบธุรกิจ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐของเขตบริหารพิเศษฮ่องกงและคู่ค้าดำเนินธุรกิจภายใต้ข้อตกลง รวมถึงได้จัดตั้งศูนย์พัฒนาด้านจริยธรรม
ทางธุรกิจของฮ่องกง (HKBEDC) เพื่ออำนวยความสะดวกให้บริษัทในภาคธุรกิจต่าง ๆ สามารถเข้าถึงข้อมูล
การกำหนดแนวทางและแนวปฏิบัติสำหรับบริษัท โดย ICAC จะมีต้นแบบ (template) และเอกสารตัวอย่างต่าง ๆ สำหรับบริษัทที่จะกำหนดนโยบายต่อต้านการทุจริตที่เข้มแข็งและครอบคลุมต่อการควบคุมภายในของบริษัท อีกทั้ง ICAC ได้มีการจัดประชุมเพื่อเจรจาร่วมกับฝ่ายบริหารและผู้บริหารระดับสูงของส่วนราชการ
ต่าง ๆ ในเรื่องเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการทุจริตเป็นประจำทุกปีหรือทุกรอบ 6 เดือน จากนั้น ICAC จะมีการติดตามผลการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ประกอบกับ ICAC ได้นำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้การป้องกันการติดสินบนในกระบวนลงทุนและการประกอบธุรกิจในเขตการบริหารพิเศษฮ่องกง โดยเขตบริหารพิเศษฮ่องกงได้ส่งเสริมรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) ทำให้กระบวนการอนุมัติอนุญาตเป็นไปโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ภาคเอกชน นิติบุคคล และประชาชนไม่ต้องใช้ระยะเวลารอนาน และให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

          นอกจากนี้ ICAC มีการจัดตั้งหน่วยงานที่ดำเนินงานด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์และให้ความรู้ด้านต่อต้านการทุจริตให้แก่ภาคธุรกิจเอกชนเป็นการเฉพาะ คือ ศูนย์พัฒนาจริยธรรมธุรกิจฮ่องกง (Hong Kong Business Ethics Development Centre – BEDC) ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อให้บรรลุภารกิจ และสร้างพันธมิตร/เครือข่ายภาคธุรกิจเอกชนผ่านทางศูนย์ BEDC
โดยพันธมิตรเหล่านี้จะสามารถถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารของ ICAC ไปยังสมาชิกของหอการค้าและบริษัทได้รวมถึง ICAC ได้กำหนดกลยุทธ์การพัฒนาและส่งเสริมจรรยาบรรณทางธุรกิจของ ICAC เรียกว่า “BEDC”
ได้แก่ การสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ (Building Strategic Alliance: B) การมีส่วนร่วม (Engagement: E)
การจัดสรรทรัพยากรด้านจริยธรรม (Dedicated Ethics Resources: D) และการบริการที่เน้นลูกค้าเป็นหลัก (Client-Focused Services: C) โดยข้อมูลข่าวสารที่ ICAC นำส่งไปยังภาคธุรกิจเอกชน คือ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการทุจริต การบังคับใช้กฎหมาย บทลงโทษ และกรณีตัวอย่างการลงโทษ การเชิญชวนให้บริษัทที่พบเจอการทุจริตหรือการเรียกรับสินบนของเจ้าหน้าที่รัฐแจ้งเรื่องต่อ ICAC ซึ่งวิธีการสื่อสารระหว่าง ICAC กับภาคธุรกิจเอกชน ICAC ได้มีการสร้างพันธมิตรและเครือข่ายภาคธุรกิจเอกชนผ่านทางศูนย์ BEDC และจัดอบรม การประชุมเชิงปฏิบัติการ และการสัมมนา โดยใช้สถานการณ์จริงเป็นกรณีตัวอย่างเป็นข้อมูลประกอบการอบรม และเผยแพร่ข้อมูล หลักสูตรการอบรม และสื่อในรูปแบบต่าง ๆ ที่เหมาะสมตรงตาม
ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย   

          จากการดำเนินการของ ICAC ส่งผลให้ปัจจุบันนี้ฮ่องกงมีค่า TRACE Metrix อยู่ที่ 34 คะแนน คือ
มีความเสี่ยงในระดับต่ำ และมีค่า CPI อยู่ที่ 73 คะแนน ในปี พ.ศ. 2567

 

ประเทศไทยสามารถประยุกต์แนวทางของฮ่องกงมาใช้อย่างไรได้บ้าง

จากการดำเนินการของ ICAC ฮ่องกง จะเห็นว่ามีปัจจัยแห่งความสำเร็จสำคัญ 5 ประการ คือ
1. การปราบปรามและลงโทษผู้กระทำการทุจริตที่จริงจัง 2. มีการป้องกันการติดสินบนตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น
ที่นักลงทุนเข้ามาลงทุนในฮ่องกงผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3. การแก้ไขปัญหาการติดสินบนที่มีการติดตามผลของการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมที่จะทำให้เราเห็นว่าแนวทางการแก้ไขปัญหานั้นสามารถแก้ไขปัญหาได้จริง ๆ 4. การสร้างเครือข่ายและความร่วมมือกับภาคเอกชนในลักษณะของการดำเนินการร่วมกัน และ 5. การสื่อสารประชาสัมพันธ์ที่ข้อมูลตอบสนองต่อความต้องการของภาคธุรกิจได้

          ดังนั้นถ้าจะประยุกต์แนวทางของฮ่องกงมาใช้นั้น สำนักงาน ป.ป.ช. ควรนำแนวทางที่ได้จากงานวิจัยชิ้นนี้ไปใช้ประกอบการวางแผนเพื่อแก้ไขปัญหาสินบนที่เกิดขึ้นในกระบวนการลงทุน โดยสำนักงาน ป.ป.ช.ร่วมมือกับภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการลงทุน ควรบูรณาการความร่วมมือกันในการกำหนดแนวทางป้องกันการทุจริตและเสริมสร้างจริยธรรมในการประกอบธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มต้นของการจัดตั้งธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งจริง ๆ ในตอนนี้สำนักงาน ป.ป.ช. มีข้อมูลในเรื่องนี้ค่อนข้างมากแล้วแต่ถ้าได้มีการร่วมหารือกับสมาคมภาคธุรกิจเอกชนและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น BOI กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อกำหนดแนวทางหรือข้อกำหนดสำหรับบริษัทเอกชนที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยให้มีความโปร่งใส ปราศจากการติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงการกำหนดมาตรการคุ้มครองภาคเอกชนเมื่อถูกเรียกรับสินบนจากเจ้าหน้าที่รัฐก็จะทำให้ได้แนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจนมากขึ้น รวมถึงยังสามารถช่วยกันในการทำงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมได้ในทางปฏิบัติ

          นอกจากนี้ ควรมีการจัดประชุมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อติดตามข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการทุจริตในกระบวนการดำเนินงาน ตลอดจนแสวงหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาและป้องกันการทุจริตโดยกำหนดประเด็นร่วมกันว่าอะไรเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข และควรตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามผลการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการติดตามประเมินผลเป็นหัวใจสำคัญอย่างยิ่งที่จะแสดงให้เห็น
ได้ชัดเจนว่าแนวทางการต่อต้านการติดสินบนมีความสำเร็จในการแก้ไขปัญหามากน้อยเพียงใด และต้องมีอะไรควรดำเนินการให้สอดคล้องและเท่ากันกับสถานการณ์ปัจจุบัน

          อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารของสำนักงาน ป.ป.ช. โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานด้านการปราบปรามการทุจริต การลงโทษผู้กระทำการทุจริต และกฎหมาย
ที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบธุรกิจในประเทศไทย โดยร่วมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการลงทุน เพื่อกำหนดแนวทางเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการป้องกันการทุจริตให้กับภาคธุรกิจเอกชน การพัฒนาเนื้อหาและรูปแบบการสื่อสารที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ สำนักงาน ป.ป.ช. ควรเพิ่มช่องทางการสื่อสาร
ผ่านสมาคมธุรกิจและหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย เพื่อให้หน่วยงานเหล่านี้เป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ข้อมูลไปยังภาคธุรกิจเอกชน

          จากที่ได้อธิบายมาทั้งหมดตั้งแต่ต้นจะเห็นได้ว่าการสร้างเครือข่ายต่อต้านสินบนระหว่างประเทศที่ต้องถอดบทเรียนมาจากการดำเนินงานของฮ่องกงจากงานวิจัยของ สำนักงาน ป.ป.ช. ไม่สามารถดำเนินการได้เพียงลำพัง ต้องมีการร่วมมือกันกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมให้เกิดขึ้นอย่างจริงจังและมีการติดตามประเมินผลที่เป็นระบบและต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่าก็คงต้องใช้เวลาและทำงานร่วมกันอย่างหนัก แต่ผลของการทำงานอย่างหนักร่วมกันนี้ก็จะทำให้ประเทศไทยต้องก้าวข้ามปัญหาการติดสินบนระหว่างประเทศไปได้

 จากบทความข้างต้น จะเห็นว่างานวิจัยมีบทบาทสำคัญในการสร้างเครือข่ายต่อต้านสินบนระหว่างประเทศ โดยช่วยให้เกิดความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยที่ก่อให้เกิดสินบน พัฒนาแนวทางป้องกันที่มีประสิทธิภาพ และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ การใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีที่ทันสมัยควบคู่ไปกับมาตรการทางกฎหมายและความร่วมมือระหว่างองค์กร จะช่วยทำให้การต่อต้านสินบนเป็นไปอย่างมีป

Related